การลดของเสียในกระบวนการผลิตกล่องกระดาษด้วยใช้เทคนิคการออกแบบการทดลอง
Main Article Content
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปริมาณของเสียจากกระบวนการผลิตกล่องกระดาษลูกฟูก โดยใช้หลักเทคนิควิศวกรรมอุตสาหการในการวิเคราะห์หาสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายของกล่องกระดาษลูกฟูก และใช้การทดลองพื้นผิวตอบสนอง เพื่อทดลองหาปัจจัยที่มีผลต่อของเสียประเภทกระดาษกรอบที่เป็นประเภทของเสียที่สูงที่สุด โดย กำหนดค่าทั้ง 3 ปัจจัยในการตั้งค่าของเครื่อง Corrugator คือ (1) ความเร็วเครื่องจักร ที่ช่วง 170 - 190 เมตรต่อนาที (2) ระยะห่างช่องว่างกาว ที่ช่วง 370 - 400 ไมครอน และ (3) กาวที่เครื่องจักร ที่ช่วง 380 - 390 ไมครอน ที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิเคราะห์พบว่าปัจจัยที่ผลต่อปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นที่แผนกผลิตกระดาษลูกฟูก ได้แก่ ความเร็วและระยะห่างช่องว่างกาว โดยมีระดับที่เหมาะสมในการตั้งค่าเครื่อง Corrugator ในการผลิตกระดาษลูกฟูก คือ ความเร็วเครื่องจักร ที่ 190 เมตรต่อนาที, ระยะห่างช่องว่างกาว ที่ 393 ไมครอน และ กาวที่เครื่องจักร ที่ 385 ไมครอน จะสามารถให้ค่า ความต้านทานแรงดันทะลุ สูงสุดเท่ากับ 103.27 kg.f/cm2 และสามารถลดปริมาณของเสียประเภทกระดาษกรอบ จากเดิมก่อนการปรับปรุงเฉลี่ยร้อยละ 5.86 และผลการปรับปรุง ด้วยการใช้เทคนิคการทดลองพื้นผิวตอบสนอง แบบ Box-Behnken พบว่าของเสียประเภทกระดาษกรอบทำให้ของเสียดังกล่าวลดเหลือร้อยละ 1.83 ดังนั้นทำให้ภาพรวมของปริมาณของเสียในช่วงก่อนปรับปรุงเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.33 ซึ่งการลดของเสียประเภทกระดาษกรอบทำให้ของเสียในภาพรวม ลดลงเหลือร้อยละ 3.28 ซึ่งทำให้บริษัทกรณีศึกษาจึงสามารถควบคุมปริมาณของเสียที่ไม่ให้เกินเกณฑ์ร้อยละ 4.5 ตามที่กำหนดไว้
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ใน Journal of Advanced Development in Engineering and Science ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในJournal of Advanced Development in Engineering and Science ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Journal of Advanced Development in Engineering and Science หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Journal of Advanced Development in Engineering and Scienceก่อนเท่านั้น