การประยุกต์ใช้การออกแบบการทดลองบ็อกซ์–เบห์นเคนด้วยวิธีการพื้นผิวตอบสนองสำหรับ การพยากรณ์ค่าความขรุขระผิวในการกลึงคว้านรูในเหล็กกล้าคาร์บอนเกรด S45C
Main Article Content
บทคัดย่อ
ปัจจุบันเหล็กกล้าคาร์บอนเกรด S45C มีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอย่างแพร่หลาย โดยการนำมาผ่านกระบวนการกลึงชิ้นงาน และจำเป็นต้องทราบแนวทางกำหนดปัจจัยในการกลึงที่มีความเหมาะสม งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้การออกแบบการทดลองบ็อกซ์–เบห์นเคนด้วยวิธีการพื้นผิวตอบสนองสำหรับการพยากรณ์ค่าความขรุขระผิวในการกลึงคว้านรูในเหล็กกล้าคาร์บอนเกรด S45C โดยมีปัจจัยที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย ความเร็วรอบ 800-1,700 รอบต่อนาที อัตราป้อน 0.06-0.10 มิลลิเมตรต่อรอบ ความลึกในการตัด 0.25-0.35 มิลลิเมตร และความยาวด้ามมีด 25-45 มิลลิเมตร จากการทดลองพบว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อค่าความขรุขระผิว คือ ความเร็วรอบ อัตราป้อน ความลึกในการตัด และความยาวด้ามมีด โดยค่าความขรุขระผิวมีแนวโน้มลดลงเมื่อใช้อัตราป้อน ความลึกในการตัด และความยาวด้ามมีดต่ำลง และเพิ่มความเร็วรอบให้สูงขึ้น ซึ่งสภาวะที่เหมาะสม คือ ความเร็วรอบ 1,700 รอบต่อนาที อัตราป้อน 0.06 มิลลิเมตรต่อรอบ ความลึกในการตัด 0.25 มิลลิเมตร และความยาวด้ามมีด 25 มิลลิเมตร ได้ค่าความขรุขระผิวเท่ากับ 1.6387 ไมโครเมตร และในการทดลองยืนยันผลพบว่า ค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ของความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ มีค่าเท่ากับ 1.92 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ จึงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และจากการวิเคราะห์พฤติกรรมการสึกหรอของเม็ดมีด โดยการกลึงคว้านรูในเหล็กกล้าคาร์บอน เกรด S45C ที่สภาวะการกลึงที่เหมาะสม โดยใช้เวลาในการกลึง 487 นาที พบว่าเม็ดมีดจะมีลักษณะการสึกหรอบนผิวหลบ เกิดจากการเสียดสีกันอย่างรุนแรงระหว่างชิ้นงานกับเม็ดมีดกลึง
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ใน Journal of Advanced Development in Engineering and Science ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในJournal of Advanced Development in Engineering and Science ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ Journal of Advanced Development in Engineering and Science หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Journal of Advanced Development in Engineering and Scienceก่อนเท่านั้น