ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ส่งผลต่อการบริหารงานองค์การ

Main Article Content

จิดาภา จันทะบุรี
ศุภสิทธิ์ จารุพัฒน์หิรัญ

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้ มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ส่งผลต่อการบริหารงานองค์การ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บังคับบัญชาของภาครัฐ ผู้บังคับบัญชาของภาคเอกชน ที่มีลูกน้องตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จำนวน 740 ชุด โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ไคสแควร์ (Chi-square) ซึ่งใช้ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรแถวตั้งและแถวนอนว่าสัมพันธ์กัน จากผลการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของภาครัฐมีบทบาทมากกว่าภาคเอกชน ในหัวข้อ ?ฉันใช้รูปแบบการนำ และการทำงาน ที่ถนัดที่สุดกับพนักงานของฉัน? โดยพบว่า ภาครัฐมีค่าคะแนนเฉลี่ยที่ 3.05 ภาคเอกชนมีค่าคะแนนเฉลี่ยที่ 2.93 ในส่วนหัวข้อ ?ฉันส่งเสริมให้พนักงานได้สร้างและคิดสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในงาน? ภาครัฐมีระดับค่าคะแนนเฉลี่ยมากกว่าภาคเอกชน โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยที่ 3.06 ในขณะที่ภาคเอกชนมีค่าคะแนนเฉลี่ยที่ 2.91 และสำหรับหัวข้อคำถาม ?ฉันพิจารณาลักษณะของพนักงานเป็นรายๆ ในการเลือกใช้วิธีการทำงานร่วมให้เหมาะสม? ภาครัฐมีระดับค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 3.18 ซึ่งมากกว่าภาคเอกชนที่มีระดับคะแนนเฉลี่ย 3.03 งานวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่า ผู้นำของภาครัฐถึงแม้จะต้องทำงานภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมายที่กำหนด แต่ภาวะผู้นำก็มีรูปแบบการนำและการทำงานของลูกน้องหรือผู้ตามมอบหมายงานให้กับพนักงานที่มีความถนัดต่อการทำงานที่สุด และยังส่งเสริมให้พนักงานได้สร้างสรรค์ผลงานและนำเสนอแนวคิดใหม่ๆ โดยไม่ได้ปิดกั้น ผู้นำภาครัฐสามารถเลือกใช้วิธีการทำงานตามลักษณะของพนักงานให้ทำงานร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
จันทะบุรี จ. ., & จารุพัฒน์หิรัญ ศ. . (2023). ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ของภาครัฐและภาคเอกชนที่ส่งผลต่อการบริหารงานองค์การ. Journal of Advanced Development in Engineering and Science, 4(9), 37–47. สืบค้น จาก https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/pitjournal/article/view/816
ประเภทบทความ
บทความวิจัย