สารสกัดหยาบจาก ตะไคร้ สะเดา มะขามต่อการยับยั้งการงอกและการเจริญ ของเมล็ดหญ้ารังนก (Chloris barbata Sw.)

ผู้แต่ง

  • จิราภรณ์ นิคมทัศน์
  • ทิพวรรณ คำสวัสดิ์

คำสำคัญ:

ตะไคร้, สะเดา, มะขามการยับยั้ง

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของสารสกัดหยาบจากตัวทำละลายที่แตกต่างกันและศึกษาความ เข้มข้นของสารสกัดหยาบจากตะไคร้ (Cymbopogon citratus (DC) Stapf.) สะเดา (Azadirachta indica A. Juss var. siamensis Valeton) และมะขาม (Tamarindus indica L.) ต่อการยับยั้งการงอกและการเจริญ ของเมล็ดหญ้ารังนก (Chloris barbata Sw.) เตรียมสารสกัดหยาบจากตะไคร้ ใบสะเดา และใบมะขามด้วยตัว ทำละลายน้ำกลั่นต้มเดือดและเอทานอล 70 เปอร์เซ็นต์โดยวิธีการหมัก ปรับความเข้มข้นของสารสกัดหยาบแต่ ละชนิดเป็น 4 เข้มข้น ได้แก่ 100, 75, 50 และ 25 กรัมน้ำหนักแห้งต่อลิตร (gDw/ L) น าสารสกัดแต่ละความ เข้มข้นฉีดพ่นลงบนเมล็ดหญ้ารังนกในจานเพาะเมล็ด บ่มที่อุณหภูมิห้อง เป็นเวลา 7 วัน ผลการวิจัยพบว่า ใน วันที่ 7 สารสกัดหยาบสะเดาและตะไคร้ที่สกัดด้วยน้ำกลั่นและเอทานอลที่ความเข้มข้น 100 กรัมน้ำหนักแห้งต่อ ลิตร แสดงเปอร์เซ็นต์การยับยั้งดีกว่าสารสกัดหยาบจากมะขามแสดงค่าเปอร์เซ็นต์การยับยั้งการงอกเท่ากับ 86- 97 เปอร์เซ็นต์และสารสกัดนี้ยังส่งผลให้เมล็ดหญ้ารังนกมีค่าดัชนีการงอกต่ำ (0.10 - 0.55) เวลาเฉลี่ยการงอก ของสารสกัดหยาบใช้เวลาน้อยกว่าชุดควบคุม นอกจากนี้ สารสกัดหยาบตะไคร้ที่สกัดด้วยเอทานอล 70 เปอร์เซ็นต์มีผลทำให้อัตราการเจริญของยอดและรากหญ้ารังนกต่ำที่สุด เท่ากับ 0.05±0.07 และ0.03±0.04 มิลลิเมตรต่อเมล็ด ตามลำดับ จากงานวิจัยนี้จึงสรุปได้ว่าสารสกัดหยาบที่สกัดด้วยเอทานอล 70 เปอร์เซ็นต์ มีผล การยับยั้งการงอกและการเจริญของเมล็ดหญ้ารังนกดีกว่าน้ำกลั่น โดยสารสกัดหยาบตะไคร้และสะเดาที่ความ เข้มข้น 100 กรัมน้ำหนักแห้งต่อลิตรสามารถยับยั้งการงอกและการเจริญของเมล็ดหญ้ารังนกได้ดีกว่าสารสกัด จากมะขาม ผลจากการวิจัยในครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการลดการใช้สารเคมีในนาข้าวและเป็นการนำพืช สมุนไพรในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์สูงสุด

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2018-06-30

How to Cite

1.
นิคมทัศน์ จ, คำสวัสดิ์ ท. สารสกัดหยาบจาก ตะไคร้ สะเดา มะขามต่อการยับยั้งการงอกและการเจริญ ของเมล็ดหญ้ารังนก (Chloris barbata Sw.). Acad. J. Sci. Appl. Sci. [อินเทอร์เน็ต]. 30 มิถุนายน 2018 [อ้างถึง 26 กุมภาพันธ์ 2025];2(3):15-31. available at: https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/ajsas/article/view/3569