https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/issue/feed วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม 2025-06-25T13:30:47+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริทิพ วะศินรัตน์ sirithip.w@chandra.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการ วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม<br /></strong><strong>Science Journal, Chandrakasem Rajabhat University</strong></p> <p><strong>ISSN 2697-4584 (online)</strong></p> <p>วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ดูแลโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม จัดทำขึ้นพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งในรูปแบบ<strong>บทความวิจัยและวิชาการ</strong> <strong>ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ</strong> ที่จะต้อง<strong>ไม่เคยเผยแพร่ในวารสารอื่น</strong>มาก่อนและต้อง<strong>ไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเพื่อลงวารสารอื่น ๆ</strong> กลุ่มเป้าหมายคือ อาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยจากสถาบันการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยบทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถูกพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน จากหลากหลายสถาบัน</p> <p>วารสารมีกำหนด<strong>ตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ</strong></p> <ul> <li data-start="991" data-end="1022"> <p><strong>ฉบับที่ 1</strong> เดือนมกราคม-มิถุนายน</p> </li> <li data-start="991" data-end="1022"><strong>ฉบับที่ 2</strong> เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม</li> </ul> <p>ผู้ส่งผลงานตีพิมพ์บทความเพื่อเข้าสู่กระบวนการตีพิมพ์เผยแพร่ได้ <strong>โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย</strong></p> https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/4119 บรรณาธิการแถลง 2025-06-25T13:20:31+07:00 รองศาสตราจารย์ ดร. อำนาจ สวัสดิ์นะที science.cru.journal@chandra.ac.th <p>วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม (Science Journal Chandrakasem Faculty of Science Chandrakasem Rajabhat University) ซึ่งฉบับนี้เป็นปีที่ 35 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2568 <br>โดยวารสารฉบับนี้ประกอบด้วยบทความวิจัยทั้งสิ้น 8 เรื่อง และทุกบทความได้รับการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน</p> <p>โดยวารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษมออนไลน์ใช้ระบบ ThaiJO 2.0 มีหมายเลข ISSN (Online) คือ 2697-4584 และวารสารเป็นเล่ม มี ISSN (Print) คือ 1685-0491 ซึ่งวารสารมีกำหนดออกปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1: มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2: กรกฎาคม – ธันวาคม) วารสารวิชาการวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เผยแพร่ผลงานทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ จากสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการ ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารวิชาการวิทยาศาสตร์มุ่งมั่นที่จะปรับระดับคุณภาพของวารสารให้พร้อมที่จะเข้าสู่การประเมินคุณภาพวารสารในฐาน TCI ต่อไป</p> <p>กองบรรณาธิการวารสารขอขอบคุณผู้นิพนธ์บทความทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในการส่งบทความ จำนวน<br>8 บทความ (บทความภายใน 1 บทความ และ บทความภายนอก 7 บทความ) เพื่อตีพิมพ์ในวารสารฯ ปีที่ 35 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2568 กองบรรณาธิการฯ ขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่กรุณาสละเวลาในการตรวจสอบคุณภาพของบทความและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ยิ่ง สุดท้าย ขอขอบคุณ ทีมงานที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ทำให้รูปเล่มของวารสารให้มีความสมบูรณ์</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3223 ผลกระทบการสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงในพื้นคอนกรีตอัดแรงที่ใช้ รูปแบบการวางแนวลวดอัดแรงต่างกัน: กรณีศึกษาโครงการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ 2024-10-21T13:34:13+07:00 สุภิชาติ เจนจิระปัญญา supichart.j@gmail.com ภาคภูมิ วานิชกมลนันท์ supichart.j@gmail.com กฤษณะ แสงทอง supichart.j@gmail.com สุนิสา รอดสังวาลย์ supichart.j@gmail.com ประเทือง พละศักดิ์ supichart.j@gmail.com มีฤกษ์ พัสระ supichart.j@gmail.com สุทธิชัย ศรีรัตนวงศ์ supichart.j@gmail.com <p>การสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงเป็นปัญหาสำคัญในระบบพื้นคอนกรีตอัดแรง โดยเฉพาะในอาคารขนาดใหญ่หรืออาคารสูงที่ใช้ระบบพื้นคอนกรีตอัดแรงดึงทีหลัง การสูญเสียแรงเสียดทานอาจเกิดจากรูปแบบการวางแนวลวดอัดแรงที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยของโครงสร้างอาคารในระยะยาว การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงที่มีการจัดวางลวดในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำการเปรียบเทียบค่าผลต่างทางทฤษฎีที่คำนวณได้กับค่าที่อ่านได้จริงจากหน้างานและเปรียบเทียบกับค่าที่มาตรฐาน ACI 318-19 กำหนดไว้สำหรับงานอาคาร โดยเลือกโครงการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่ใช้ระบบพื้นคอนกรีตอัดแรงดึงทีหลัง ที่มีการวางแนวลวดอัดแรงในรูปแบบต่างกันจำนวน 17 รูปแบบ แต่ละรูปแบบของการวางแนวลวดอัดแรงจะคำนวณสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงตามมาตฐาน ACI 423.10R-16 ทำการเปรียบเทียบการสูญเสียแรงเสียดทานและการยืดตัวของลวดอัดแรงจากค่าที่คำนวนทางทฤษฎีกับค่าที่อ่านได้จริงหน้างาน ผลการวิจัยพบว่าการวางแนวลวดอัดแรงที่มีการเบี่ยงเบนในแนวราบส่งผลให้เกิดการสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงสูงกว่ารูปแบบที่ไม่มีการเบี่ยงเบน การวางแนวลวดอัดแรงที่มีความยาวมากกว่าจะมีค่าการสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจากการยืดตัวของลวดอัดแรงสูงกว่าแนวลวดอัดแรงที่มีความยาวสั้นกว่า และค่าการยืดตัวของลวดอัดแรงที่มีรูปแบบการวางแนวต่างกันพบว่าผลต่างระหว่างค่าที่อ่านได้จริงและค่าทางทฤษฎีมีค่าต่ำกว่าค่าที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน ACI 318-19 ดังนั้นรูปแบบการวางลวดอัดแรงที่เหมาะสมช่วยลดการสูญเสียแรงเสียดทานเนื่องจาการยืดตัวของลวดอัดแรง เพื่อให้โครงสร้างพื้นคอนกรีตอัดแรงมีประสิทธิภาพการใช้งานในระยะยาวได้</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3262 การพัฒนาคอนกรีตกึ่งสำเร็จรูป แบบถุงสำหรับงานก่อสร้าง 2024-10-31T09:29:56+07:00 ปุณณภา เหล็กแก้ว piamanee28@gmail.com แดน อุตรพงษ์ piamanee28@gmail.com เสาวรส หะสิตะ piamanee28@gmail.com ไชยนันท์ รัตนโชตินันท์ piamanee28@gmail.com กฤช คำณูนธรรม piamanee28@gmail.com จุฬาวัลย์ นนตะพันธ์ piamanee28@gmail.com กิตติชัย รัตนโชตินันท์ piamanee28@gmail.com ศรัทธา พลังทรงสถิต piamanee28@gmail.com จรัล รัตนโชตินันท์ piamanee28@gmail.com <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการพัฒนาคอนกรีตกึ่งสำเร็จรูปแบบถุงสำหรับการก่อสร้าง โดยวิเคราะห์สัดส่วนที่เหมาะสมตามค่ารับกำลังอัดที่ต้องการ วัสดุผสมคือ หินเบอร์ 1 ซีเมนต์และทรายหยาบ โดยไม่ใช้น้ำยาผสมคอนกรีต ทำการทดสอบการรับกำลังอัดและการยุบตัว ตัวอย่างคอนกรีตแบบลูกบาศก์ขนาด 15x15x15 ลูกบาศก์เซนติเมตร และการบ่มน้ำระยะเวลา 7, 14, และ 28 วัน ผลทดสอบพบว่าคอนกรีตแบบถุงมีแรงอัดสูงสุดที่ 28 วัน ที่ 206.9, 241 และ 251 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร ซึ่งเหมาะสำหรับผู้มีงบประมาณจำกัดและไม่ต้องหาสัดส่วนส่วนผสมเองใช้งานง่ายสะดวก</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3623 การอนุรักษ์พลังงานของเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน โดยการติดตั้ง PVC Filling ที่ส่วนระบายความร้อน 2025-02-10T09:25:43+07:00 วันชลี เพ็งพงศา wanchalee.p@chandra.ac.th พิศิษฐ์ แซ่ตั่น wanchalee.p@chandra.ac.th เอนก เทียนบูชา wanchalee.p@chandra.ac.th สามารถ นอร์มา wanchalee.p@chandra.ac.th ประสิทธิ์ การนอก wanchalee.p@chandra.ac.th วีระ ศรีอริยะกุล wanchalee.p@chandra.ac.th <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการติดตั้งแผงระบายความร้อนแบบ PVC Filling ที่คอนเดนเซอร์ เพื่อเพิ่มการแลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างน้ำกับอากาศก่อนเข้าคอนเดนเซอร์ โดยเปรียบเทียบค่าสมรรถนะการทำความเย็น อัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน และผลประหยัดที่เกิดขึ้น แบ่งออกเป็น 2 กรณี 1) กรณีไม่ติดตั้ง PVC Filling และ 2) กรณีติดตั้ง PVC Filling ที่ความหนา 5, 7.5 และ 10 เซนติเมตร ทำการทดลองกับเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนชนิดระบายความร้อนด้วยอากาศ ยี่ห้อ Focus ขนาด 25,000 บีทียูต่อชั่วโมง ปรับตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ความเร็วลม 1 เมตรต่อวินาที อัตราการไหลของน้ำที่ระบายความร้อน 2,500 ลิตรต่อชั่วโมง จากผลการทดลองพบว่า ความหนาของ PVC Filling ขนาด 10 เซนติเมตร เป็นความหนาที่มีประสิทธิภาพพลังงานดีที่สุดในงานวิจัยนี้ โดยมีค่า EER และค่า COP เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 21.33 และ 21.58 ตามลำดับ ลดการใช้พลังงานได้ร้อยละ 5.67 คิดเป็นผลประหยัดได้ 817.61 บาทต่อปี การอนุรักษ์พลังงานด้วยการติดตั้ง PVC Filling ที่คอนเดนเซอร์สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับ 96.90 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3167 ผลการออกกำลังกายแบบผสมผสานต่อสมรรถภาพทางกายของผู้ป่วยเสี่ยงพลัดตกหกล้มในเขตอำเภอเมืองลพบุรี 2024-10-18T09:53:48+07:00 ภุชงค์ ธนะเพิ่ม puchong1557@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการออกกำลังกายแบบผสมผสานต่อสมรรถภาพทางกายของผู้ป่วยเสี่ยงพลัดตกหกล้มในเขตอำเภอเมืองลพบุรี วิธีการวิจัยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experiment research) ศึกษาแบบกลุ่มเดียววัดผลเปรียบเทียบก่อน - หลัง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Pair t-test โดยกลุ่มตัวอย่างมีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีภาวะเสี่ยงพลัดตกหกล้มในอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี จำนวน 45 คน 1 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการออกกำลังกายแบบผสมผสาน โดยการตรวจประเมินสุขภาพทางกายและความรู้การออกกำลังกายแบบผสมผสาน โดยสอนการออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และฝึกทรงตัว ระยะเวลา 24 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า มีค่าความดันโลหิตช่วงล่าง อัตราการเต้นของหัวใจ ดัชนีมวลกาย และสัดส่วนเส้นรอบเอว/รอบสะโพก มีค่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ การเปรียบเทียบความแตกต่างของสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุออกกำลังกายตามโปรแกรมการออกกำลังกาย มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขน ความยืดหยุ่นของร่างกายส่วนบน ความยืดหยุ่นของร่างกายส่วนล่าง ความทนทานในการทำงาน การทรงตัว และการเดินมีค่าแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุป: การออกกำลังกายแบบผสมผสานเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกายของผู้สูงอายุ และสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการพลัดตกหกล้ม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุและความเจ็บปวดในผู้สูงอายุ การพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและอายุยืนยาวขึ้นได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3387 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับการใช้สื่อประสม 2025-03-18T12:08:40+07:00 ธนวัฒน์ คำจันทร์วงค์ thanawat.co@ksu.ac.th ประภาพร หนองหารพิทักษ์ prapaporn.no@ksu.ac.th ปวีณา ขันธ์ศิลา paweena.kh@ksu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง พหุนาม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโนนเที่ยง อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับการใช้สื่อประสม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้เรื่อง พหุนาม โดยใช้การจัดกิจกรรมที่พัฒนาขึ้น กลุ่มเป้าหมายในงานวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังศึกษาอยู่ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 8 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบ 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E<sub>1</sub>/E<sub>2 </sub>และค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พหุนาม โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับการใช้สื่อประสม มีประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับ 71.61/71.07 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 2) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีค่าเท่ากับ 0.6068 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ( 4.35, S.D. = 0.62)</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3310 การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร กรณีศึกษา SME อุตสาหกรรมแฟชั่น 2024-11-12T09:50:27+07:00 ชวลิต จันคันธา charles.valydth@gmail.com พุฒิพงศ์ ชยันโต charles.valydth@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของ SME อุตสาหกรรมแฟชั่น จำนวน 25 กิจการ ประกอบด้วยธุรกิจเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายจำนวน 17 กิจการ และธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับจำนวน 8 กิจการ ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยเก็บข้อมูลปีฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสถานประกอบการ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึงเดือนกันยายน 2567 ตามแนวทางการประเมินขององค์กรขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งแบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ขอบเขต ได้แก่ ขอบเขตที่ 1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง ขอบเขตที่ 2 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน และขอบเขตที่ 3 การปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ ผลการวิจัยพบว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม เท่ากับ 262.92 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO<sub>2</sub>-eq) โดยปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงาน ในขอบเขตที่ 2 มีค่ามากที่สุด เท่ากับ 134.33 tCO<sub>2</sub>-eq รองลงมาคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง เท่ากับ 99.20 tCO<sub>2</sub>-eq และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่น ๆ เท่ากับ 29.39 tCO<sub>2</sub>-eq คิดเป็นร้อยละ 51.09 37.73 และ 11.18 ตามลำดับ การใช้พลังงานไฟฟ้าในอุตสาหกรรมแฟชั่นก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด รองลงมาคือการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์สำหรับการขนส่งสินค้า และการใช้น้ำประปา คิดเป็นร้อยละ 51.09 28.19 และ 8.68 ตามลำดับ ดังนั้นจึงมีแนวทางในการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น อาทิ การหมั่นบำรุงรักษาและดูแลเครื่องจักรเป็นประจำเพื่อลดการซ่อมบำรุง และเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การปรับอุณภูมิของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม การเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานสะอาดในการขนส่งสินค้า นอกจากนี้ควรมีมาตรการให้พนักงานให้ช่วยกันประหยัดพลังงาน ประหยัดการใช้น้ำ และใช้ทรัพยากรอื่น ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อันจะนำไปสู่การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลกระทบให้เกิดภาวะโลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3181 การเปรียบเทียบความเร็วในการว่ายท่ากบ 50 เมตรระหว่างโปรแกรมพลัยโอเมตริกขาบนบก และโปรแกรมพลัยโอเมตริกขาในน้ำของนักกีฬาว่ายน้ำหญิง 2024-10-28T09:09:49+07:00 รัตนา บุญลือ rattaveeo@nu.ac.th ขจรศักดิ์ รุ่นประพันธ์ rattaveeo@nu.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความเร็วในการว่ายน้ำท่ากบระยะทาง 50 เมตร ระหว่างการฝึกพลัยโอเมตริกขาบนบกและพลัยโอเมตริกขาในน้ำของนักกีฬาว่ายน้ำหญิง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้มาจากนักกีฬาว่ายน้ำหญิงที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนกีฬาจังหวัดสุรรณบุรี จำนวน 20 คน อายุระหว่าง 15 – 18 ปี ในปีการศึกษา 2563 โดยการเลือกแบบเจาะจงนำประชากรนักกีฬาว่ายน้ำหญิงทั้งหมดมาทดสอบความเร็วโดยการว่ายน้ำระยะทาง 50 เมตร ด้วยความเร็วสูงสุด โดยใช้การจับเวลา (Test Time) กำหนดให้มีกลุ่มทดลองด้วยพลัยโอเมตริกขาบน 10 คน และกลุ่มทดลองพลัยโอมตริกขาในน้ำจำนวน 10 คน ใช้การแบ่งกลุ่มโดยวิธีการสุ่มแบบกำหนด (Randomized Assignment) ทำการฝึกด้วยโปรแกรมพลัยโอเมตริกขาบนและโปรแกรมพลัยโอเมตริกขาในน้ำรวมทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน (วันจันทร์ วันพุธและวันศุกร์) ทดสอบความเร็วด้วยการว่ายน้ำท่ากบระยะทาง 50 เมตร ก่อนการทดลอง และหลังการทดลองสัปดาห์ที่ 8 นำผลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติ เพื่อหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนและหลังการทดลองและระหว่างกลุ่มการทดลอง โดยการทดสอบค่าที ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ ความเร็วในการว่ายน้ำท่ากบระยะทาง 50 เมตร ของนักกีฬาว่ายน้ำหญิง ด้วยการฝึกพลัยโอเมตริกขาบนบก มีความเร็วมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 2) หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ ความเร็วในการว่ายน้ำท่ากบระยะทาง 50 เมตร ของนักกีฬาว่ายน้ำหญิง ด้วยการฝึกพลัยโอเมตริกในน้ำ มีความเร็วมากกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3) หลังการทดลอง 8 สัปดาห์ ความเร็วในการว่ายน้ำท่ากบระยะทาง 50 เมตร ระหว่างการฝึกพลัยโอเมตริกขาบนบกและการฝึกพลัยโอเมตริกขาในน้ำ ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/scicru/article/view/3591 การนำวิทยาศาสตร์การกีฬาไปใช้ในกีฬาเพาะกายและฟิตเนส 2025-01-31T14:18:54+07:00 ธเนษฐ์พงษ์ สุขวงศ์ thanatpong.s@chandra.ac.th ศิรประภา พานทอง thanatpong.s@chandra.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการวิเคราะห์การนำวิทยาศาสตร์การกีฬาไปใช้ในกีฬาเพาะกายและฟิตเนส ขอบเขตวิทยาศาสตร์การกีฬาที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการฝึกซ้อมและพัฒนารูปร่างกล้ามเนื้อในกีฬาเพาะกายและฟิตเนสที่สำคัญ ได้แก่ กายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา ชีวกลศาสตร์ จิตวิทยา โภชนาการ และเวชศาสตร์การกีฬา โดยอาจแบ่งการฝึกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ช่วงประเมินรูปร่างและสมรรถภาพ ช่วงฝึกและปรับปรุง ช่วงการแข่งขัน และช่วงประเมินผลการฝึก อีกทั้งหลักการฝึกซ้อมทั่วไปจะเป็นการนำองค์ความรู้วิทยาศาสตร์การกีฬาด้านสรีรวิทยามาใช้ในการกำหนดรูปแบบและรายละเอียดของการออกกำลังกาย<br />ซึ่งประกอบด้วย 4 หลักการ ได้แก่ หลักการฝึกหนักเกินปกติ หลักความเฉพาะเจาะจง หลักการความแตกต่างเฉพาะบุคคล และหลักการย้อนกลับ บทความนี้เป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับนักกีฬาและโค้ชในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดการบาดเจ็บในกีฬาเพาะกายและฟิตเนส</p> 2025-06-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม