https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/issue/feed
วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
2025-06-30T00:00:00+07:00
กองบรรณาธิการ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ
itec-journal@vru.ac.th
Open Journal Systems
<h2>เกี่ยวกับวารสาร</h2> <p>วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์ (Industrial Technology Valaya Alongkorn Journal ) กำหนดพิมพ์เผยแพร่ปีการศึกษาละ 2 ฉบับ (มกราคม-มิถุนายน และ กรกฎาคม-ธันวาคม) คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริม สนับสนุนให้คณาจารย์ ข้าราชการ นักวิชาการศึกษาและนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันการศึกษาอื่น ๆ ได้มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการ เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความรู้ด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ด้านการออกแบบอุตสาหกรรมและสาขาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวารสารมีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Review) ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องจากภายในและ/หรือภายนอกมหาวิทยาลัย จำนวน 3 ท่านต่อหนึ่งบทความ บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ใน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของบทความว่าสมควรเผยแพร่ตีพิมพ์หรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-Blinded Peer Review)</p>
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3804
การออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่
2025-03-21T10:33:29+07:00
ณัฐพล ซอฐานานุศักดิ์
nutthapol@rmutt.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดกระบวนการด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนการสอน ความรู้ และวิชาชีพ ซึ่งประกอบด้วย (1) ความแตกต่างของการออกแบบผลิตภัณฑ์ และการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (2) ปัจจัยสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ประกอบด้วย การใช้งาน ความปลอดภัย ความคุ้มค่า ความทนทาน ความสะดวกสบายในการใช้งาน การผลิตและการประกอบ ความสวยงาม ความยั่งยืน การบำรุงรักษา มาตรฐานและข้อบังคับ และ(3) กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้แก่ ขั้นตอนการพัฒนาแนวคิดผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ ขั้นตอนการออกแบบเบื้องต้น ขั้นตอนการสร้างต้นแบบ ขั้นตอนการทดสอบและทดลอง ขั้นตอนการวิเคราะห์และศึกษาความเป็นไปได้ครั้งสุดท้าย ขั้นตอนของการออกแบบครั้งสุดท้าย ขั้นตอนการผลิตและจำหน่าย บทความวิชาการนี้ เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลโดยทั่วไป เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และแนวคิดเพื่อนำไปปฏิบัติการทางวิชาชีพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสามารถบูรณาการทางด้านวิชาชีพได้อย่างเหมาะสม สามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ในการพัฒนา และการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคม เทคโนโลยีในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3565
แนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมในการลดของเสียในกระบวนการผลิตแผ่นวงจรในผลิตภัณฑ์ไฟเลี้ยวรถยนต์โดยใช้แผนภูมิพาเรโตและแผนภาพสาเหตุและผล
2025-06-16T16:37:47+07:00
ปราณี หวานเงิน
Pranee.wan@vru.ac.th
สุภาวิดา ทิพย์ไชย
Supawida.tip@vru.ac.th
ประภาวรรณ แพงศรี
prapawan.pang@vru.ac.th
อานันท์ บุตรรัตน์
anan.but@vru.ac.th
ภัทราภรณ์ เหนือศรี
pattaraporn.nuea@vru.ac.th
ชุติกาญจน์ สุพพัตเวช
chutikarn.su@vru.ac.th
ริศภพ ตรีสุวรรณ
rissaphop.tree@vru.ac.th
<p>ในอุตสาหกรรมการผลิต ความสูญเสียหรือข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์ ต้นทุน และความพึงพอใจของลูกค้า การระบุปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้สามารถวางแผนแก้ไขและปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในสายการผลิตแผ่นวงจรไฟเลี้ยวรถยนต์ ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ ด้วยการใช้เครื่องมือการวิเคราะห์พาเรโต (Pareto Analysis) เพื่อระบุประเภทของข้อบกพร่องที่มีผลกระทบสูงสุด และผังก้างปลา (Fishbone Diagram) ในการวิเคราะห์หาสาเหตุหลักที่นำไปสู่ปัญหา ผลการศึกษาพบว่าการวิเคราะห์พาเรโตสามารถระบุข้อบกพร่องที่สำคัญที่สุดในกระบวนการผลิตได้อย่างชัดเจน เช่น ความผิดพลาดในกระบวนการเชื่อมต่อวงจรหรือการเคลือบผิว การใช้ผังก้างปลาช่วยระบุสาเหตุที่เกี่ยวข้อง เช่น คุณภาพวัตถุดิบ เครื่องจักรที่ชำรุด และข้อจำกัดด้านทักษะของแรงงาน จากการวิเคราะห์นี้ งานวิจัยได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม เช่น การปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบวัตถุดิบ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันสำหรับเครื่องจักร และการฝึกอบรมแรงงาน การวิจัยนี้มีความสำคัญต่อการเพิ่มคุณภาพ ลดความสูญเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุน รวมถึงสร้างแนวทางที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ โดยการใช้เครื่องมือที่เป็นมาตรฐานสากล งานวิจัยนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ยังสร้างคุณค่าให้แก่ระบบการผลิตโดยรวม</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3626
การศึกษาและออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิงสำหรับแปลงปลูกกล้วยไข่
2025-01-17T11:02:35+07:00
ภุมรินทร์ ทวิชศรี
phummarin@vru.ac.th
องอาจ ทับบุรี
phummarin@vru.ac.th
กันยารัตน์ เอกเอี่ยม
phummarin@vru.ac.th
พีรวัฒน์ อาทิตย์ตั้ง
phummarin@vru.ac.th
วีระพงศ์ ทองสา
phummarin@vru.ac.th
ศิลปชัย กลิ่นไกล
phummarin@vru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้เสนอการศึกษาและออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อลดต้นทุนค่านำมันเชื้อเพลิงสำหรับสำหรับแปลงปลูกกล้วยไข่ ในพื้นที่ตำบลคลองไก่เถื่อน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและออกแบบระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไปใช้เป็นพลังงานหลักจ่ายให้ปั๊มน้ำที่ใช้ระบบไฟฟ้ากระแสสลับ แทนการใช้เครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานจากน้ำมันเชื่อเพลิงเพื่อลดต้นทุนจากการส่งจ่ายน้ำเข้าสู่แปลงปลูกกล้วยไข่ และสามารถนำความรู้จากเทคโนโลยีนี้ไปให้เกษตรกรในพื้นที่ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาไปใช้กับระบบอื่น ๆ ที่สามารถใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์ได้ โดยระบบการทำงานของการจ่ายน้ำเข้าสู่พื้นที่ในแปลงปลูกกล้วยไข่ ใช้การควบคุมการทำงานของปั๊ม รับค่าความชื้นในดินเพื่อสั่งให้ปั๊มทำงาน โดยจากผลการทดสอบการทำงาน พบว่า ช่วงค่าความชื้นที่เหมาะสม ที่ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีค่าความชื้นในดินระหว่างร้อยละ 65 - 90 โดยสามารถลดปริมาณการใช้น้ำรวมทั้งสิ้น 640 ลิตร ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 80 ลิตรและมีค่าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ย 2,400 บาทต่อเดือน</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3801
การเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการพยากรณ์ระหว่างวิธีบอกซ์-เจนกินส์ วิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของวินเทอร์แบบบวก และวิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของวินเทอร์แบบคูณ สำหรับการพยากรณ์ปริมาณการจำหน่ายเยื่อกระดาษ
2025-03-20T14:36:29+07:00
สิโรรัตน์ จั่นงาม
sirorath@vru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างตัวแบบพยากรณ์ที่เหมาะสมสำหรับปริมาณการจำหน่ายเยื่อกระดาษ โดยนำเทคนิคการพยากรณ์มาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งประกอบด้วย วิธีบอกซ์เจนกินส์ วิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของวินเทอร์แบบบวก และวิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของวินเทอร์แบบคูณ ทั้งนี้พิจารณาวิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสมจากค่าเฉลี่ยร้อยละของความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์ (MAPE) และเกณฑ์รากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (RMSE) ที่มีค่าตํ่าที่สุด ข้อมูลที่ใช้ได้มาจากเว็บไซต์ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนมกราคม 2568 จำนวน 85 ค่า และได้แบ่งข้อมูลออกเป็นสองชุด ชุดแรก จำนวน 77 ค่า คือ ข้อมูลเดือนมกราคม 2561 ถึง เดือนพฤษภาคม 2567 และชุดที่สอง จำนวน 8 ค่า คือ ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2567 ถึงเดือนมกราคม 2568 โดยที่ข้อมูลชุดแรกใช้สำหรับสร้างตัวแบบพยากรณ์ และข้อมูลชุดสองใช้สำหรับการตรวจสอบความแม่นยำของตัวแบบพยากรณ์ ผลการวิจัย พบว่าตัวแบบพยากรณ์ด้วยวิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของวินเทอร์แบบคูณ มีความเหมาะสมกับอนุกรมเวลาชุดนี้มากที่สุด (MAPE = 11.775 และ RMSE = 3921.166)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3806
ตัวแบบการพยากรณ์ปริมาณการส่งออกเนื้อปลาแช่แข็งของประเทศไทย
2025-03-21T12:26:40+07:00
กิตยาการ อิศรางกูร ณ อยุธยา
kittayakarn@gmail.com
สายฝน เทียมแก้ว
kittayakarn@gmail.com
<p>วัตถุประสงค์ของการศึกษาในครั้งนี้ คือ การสร้างตัวแบบพยากรณ์ที่เหมาะสมของปริมาณการส่งออกเนื้อปลาแช่แข็งของประเทศไทย โดยใช้วิธีการทางสถิติทั้งหมด 3 วิธี คือ วิธีการปรับให้เรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของโฮลต์ วิธีการปรับให้เรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของบราวน์ และวิธีการปรับเรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังที่มีแนวโน้มแบบแดม ข้อมูลอนุกรมเวลาปริมาณการส่งออกเนื้อปลาแช่แข็งได้มาจากเว็บไซต์ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 จำนวน 83 ค่า และได้แบ่งข้อมูลออกเป็นสองชุด ชุดแรก จำนวน 77 ค่า คือ ข้อมูลเดือนมกราคม 2561 ถึง เดือนพฤษภาคม 2567 และชุดที่สอง จำนวน 6 ค่า คือ ข้อมูลเดือนมิถุนายน 2567 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยที่ข้อมูลชุดแรกใช้สำหรับสร้างตัวแบบพยากรณ์ และข้อมูลชุดสองใช้สำหรับการตรวจสอบความแม่นยำของตัวแบบพยากรณ์ด้วยเกณฑ์ร้อยละความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (MAPE) และเกณฑ์รากที่สองของความคลาดเคลื่อนกำลังสองเฉลี่ย (RMSE) ที่มีค่าตํ่าที่สุด ผลการวิจัย พบว่าตัวแบบพยากรณ์ด้วยวิธีการปรับให้เรียบด้วยเส้นโค้งเลขชี้กำลังของโฮลต์ มีความเหมาะสมกับอนุกรมเวลาชุดนี้มากที่สุด (MAPE = 21.650 และ RMSE = 1267.954)</p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/itec-journal/article/view/3813
การเปรียบเทียบการประมาณค่าพารามิเตอร์ด้วยวิธีภาวะน่าจะเป็นสูงสุดและวิธีของโมเมนต์สำหรับการแจกแจงแชงเกอร์
2025-03-25T14:10:03+07:00
ศศิชา นามเสนา
sasichaaaa@gmail.com
สุธาสินี ไทยส่วย
sasichaaaa@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการประมาณค่าพารามิเตอร์ของการแจกแจงแชงเกอร์ระหว่างวิธีภาวะน่าจะเป็นสูงสุด (Maximum Likelihood Estimation : MLE) และวิธีของโมเมนต์ (Method of Moment : MOM) การศึกษาโดยการจำลองข้อมูลเมื่อกำหนด <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\theta&space;" alt="equation" /> = 0.3 0.5 1.0 1.5 และ 2.5 ขนาดตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ n= 20 40 60 80 และ 100 นอกจากนี้มีการนำเสนอการประมาณค่าพารามิเตอร์ทั้งสองวิธีกับข้อมูลจริงและการทดสอบภาวะสารูปดี <br />ผลการศึกษาจากการจำลองข้อมูลพบว่า วิธีภาวะน่าจะเป็นสูงสุด (MLE) และ วิธีของโมเมนต์ (MOM) มีประสิทธิภาพในการประมาณค่าพารามิเตอร์ของการแจกแจงแชงเกอร์เนื่องจากให้ค่าประมาณ <img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\hat{\theta}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> เข้าใกล้ค่าจริง </span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\theta&space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> เมื่อขนาดตัวอย่างเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณาจากค่าสัมบูรณ์ของ BIAS พบว่า วิธี MLE ให้ค่าสัมบูรณ์ของ BIAS น้อยกว่าวิธี MOM ในทุกกรณี ยกเว้นเมื่อ </span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\theta&space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"> = 0.3 และ 0.5 (</span><img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\theta&space;" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;"><1) ขนาดตัวอย่าง n= 80 และ 100 ซึ่งวิธี MOM ให้ค่าสัมบูรณ์ของ BIAS น้อยกว่าวิธี MLE อย่างไรก็ตามวิธี MOM เป็นวิธีที่มีค่าความแปรปรวนน้อยกว่าวิธี MLE จากการเปรียบเทียบการประมาณค่าพารามิเตอร์ทั้งสองวิธีกับข้อมูลจริง 3 ชุด พบว่า วิธี MLE ให้ค่าประมาณที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับข้อมูลจริงมากกว่าวิธี MOM เนื่องจากวิธี MLE ให้ค่า K-S test ที่มีค่า p-value>0.05 และมีค่ามากกว่าวิธี MOM ส่วนวิธี MOM ให้จำนวนรอบในการลู่เข้าหาคำตอบได้เร็วกว่าวิธี MLE</span></p>
2025-06-30T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีอุตสาหกรรม วไลยอลงกรณ์