https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/issue/feed วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า 2025-06-29T19:07:34+07:00 ผศ.ดร. ฤทธิชัย เภาเนียม Jtep.journal@mail.rmutk.ac.th Open Journal Systems <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong><br />วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า (Journal of Technology and Engineering Progress : JTEP) เป็นวารสารวิชาการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ร่วมกับ สมาคมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเชิงสร้างสรรค์ (ICTA) ซึ่งมีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรม โดยเผยแพร่เป็นราย 6 เดือน ซึ่งตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับละ 8 - 12 บทความ) และ มีการดำเนินงาน จัดพิมพ์บทความประเภทต่าง ๆ ได้แก่ บทความวิจัย (Research paper) บทความวิชาการ (Academic paper) และบทความปริทัศน์ (Review article)<br /><strong>ISSN</strong> 3027-6500 (Online) <br /><strong>Start year:</strong> 2566<br /><strong>Language:</strong> ไทย<br /><strong>Publication charge:</strong> ไม่มีค่าใช้จ่าย <br /><strong>Free access:</strong> ทันที<br /><strong>Issues per year :</strong> 2 ฉบับ (ทุก 6 เดือนต่อฉบับ)</p> https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/4083 การศึกษาอิทธิพลของตัวแปรในการเชื่อมความต้านทานแบบจุดที่มีต่อความต้านทานแรงดึงเฉือนระหว่างอะลูมิเนียมผสมกับเหล็กกล้าคาร์บอนผสมต่ำ 2025-06-07T13:28:39+07:00 ศราวุธ จันทร์กลาง prajak_ja@rmutto.ac.th วรชัย มั่นศิลป์ Prajak_ja@rmutto.ac.th คทาวุธ อรรคษร Prajak_ja@rmutto.ac.th วิชัย บุญโก่ง Prajak_ja@rmutto.ac.th เกียรติศักดิ์ สมนึก Prajak_ja@rmutto.ac.th ธีรวุฒิ เขื่อนแก้ว Prajak_ja@rmutto.ac.th ศักดิ์ดา วงศ์อัจญริน Prajak_ja@rmutto.ac.th ประจักร จัตกุล Prajak_ja@rmutto.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของตัวแปรในการเชื่อมความต้านทานแบบจุดที่มีต่อความต้านทานแรงดึงเฉือน พฤติกรรมการแตกหักและการก่อตัวของผลึกระหว่างอะลูมิเนียมผสม 5052 กับเหล็กกล้าคาร์บอนผสมต่ำ SPFH 780 โดยใช้เงื่อนไขที่เป็น เวลาในการปล่อยกระแสขาขึ้นและเวลาในการปล่อยกระแสขาลง 0 และ 15 Cycle โดยควบคุมแรงกดของอิเล็กโทรดเป็น 0.075 MPa และ 0.150 MPa จากผลการศึกษา พบว่าเงื่อนไขที่ส่งผลให้ชิ้นงานมีค่าความต้านทานแรงดึงเฉือนบริเวณรอยต่อของชิ้นงานสูงสุดคือ เวลาในการปล่อยกระแสขาขึ้นที่ 15 Cycle เวลาในการปล่อยกระแสขาลงที่ 0 Cycle และแรงกดของอิเล็กโทรด 0.075 MPa สำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมการแตกหักพบว่าชิ้นงานที่ให้ค่าความต้านทานแรงดึงเฉือนสูงสุดปรากฏพฤติกรรมการแตกหักแบบเหนียว (Ductile) และมีการก่อตัวขึ้นของชั้นสารประกอบเชิงโลหะของเฟส Al<sub>0.95</sub>Mg<sub>0.05</sub>, (Al<sub>0.5</sub>Cr<sub>0.5</sub>)Fe, Cr<sub>0.03</sub>Fe<sub>0.97</sub> และ Fe<sub>2.99</sub>(Al<sub>0.441</sub>Si<sub>0.559</sub>)</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/4097 การลดของเสียบริเวณผิวชิ้นงานในกระบวนการผลิตชิ้นส่วนข้อต่อโลหะ กรณีศึกษา บริษัท โกลบอล-ไทยซอน พรีซิชัน อินดัสทรี จำกัด 2025-06-11T20:52:17+07:00 กนกวรรณ เกริกสูงเนิน kanokwan.ks@rmuti.ac.th วรรณนิศา นุชคุ้ม Nearmoonsakura@gmail.com จิตติวัฒน์ นิธิกาญจนธาร Nearmoonsakura@gmail.com ภูมิบุญ พลต้าง Nearmoonsakura@gmail.com อรรถพล คำชาย Nearmoonsakura@gmail.com สุภัทรา หมู่ป่ารัง Nearmoonsakura@gmail.com ภาณุภัฏ สาธุวงค์ Nearmoonsakura@gmail.com <p> การลดของเสียบริเวณผิวชิ้นงานในกระบวนการผลิตข้อต่อโลหะของ บริษัท โกลบอล-ไทยซอน พรีซิชัน อินดัสทรี จำกัด นำหลักการไคเซ็นมาประยุกต์ใช้เพื่อลดของเสียในกระบวนการผลิต จากการเก็บข้อมูลของเสีย พบอัตราของเสียสูงถึง 16.57% มีสาเหตุหลักจากรอยคลื่น รอยบุบ รอยกลึงไม่ครบกระบวนการ และรอยขีดข่วน ต่อมาทำการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยเครื่องมือทางคุณภาพในวิศวกรรมอุตสาหการ ได้แก่ แผนภาพแสดงเหตุและผล และการวิเคราะห์ความเสี่ยง เพื่อระบุสาเหตุหลักและสาเหตุรองของปัญหา จากนั้นนำคะแนนความเสี่ยงมาวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของปัญหาด้วยแผนภาพพาเรโต ผลจากการดำเนินการปรับปรุงทำให้อัตราของเสีย ลดเหลือ 1.34% และเพิ่มอัตราผลิตภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์คุณภาพจาก 80.19% เป็น 95.42% คิดเป็นการลดต้นทุนของเสียประมาณ 2,291,328 บาทต่อปี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการวิเคราะห์ปัญหาและการแก้ไขอย่างเป็นระบบในเชิงวิศวกรรม</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/4078 ผลกระทบของอุณหภูมิการอบอ่อนหลังกระบวนการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมแอนไอโซทรอปิกและความสามารถในการลากขึ้นรูปของโลหะแผ่นเหล็กกล้าไร้สนิม SUS304 2025-06-04T17:33:05+07:00 ณัฐศักดิ์ พรพุฒิศิริ natthasak.por@rmutr.ac.th เฉลิมพล คล้ายนิล Natthasak.por@rmutr.ac.th พงศกร หลีตระกูล Natthasak.por@rmutr.ac.th จิณกมล ลุยจันทร์ Natthasak.por@rmutr.ac.th ภาสพิรุฬห์ วัชรศรีสำเริง Natthasak.por@rmutr.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของอุณหภูมิการอบอ่อนหลังกระบวนการที่ส่งผลต่อความสามารถในการขึ้นรูปในแต่ละทิศทางของการรีดหรือค่าแอนไอโซทรอปิกของวัสดุโลหะแผ่นเหล็กกล้าไร้สนิม จุดประสงค์ของการวิจัยนี้คือ ศึกษาโดยการออกแบบการทดลอง เพื่อประกอบการประเมินผลพฤติกรรมการขึ้นรูปลึกและความสามารถในการลากขึ้นรูปของโลหะแผ่นเหล็กกล้าไร้สนิมเกรด SUS304 ซึ่งถูกนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลาย เพื่อพัฒนาแนวทางในการทำนายเชิงเปรียบเทียบผลกระทบของอุณหภูมิการอบอ่อน จากสมบัติทางกล ความกว้างของปีกถ้วย และการเปลี่ยนแปลงค่าความหนาผนังถ้วย โดยทำการอบอ่อนชิ้นทดสอบ ที่ระดับอุณหภูมิ 200 ˚C 400 ˚C และ 600 ˚C ภายในเตาอบไฟฟ้าเป็นระยะเวลา 5 นาที ที่จำนวนตัวอย่างเงื่อนไขละ 30 ชิ้น จากนั้นนำชิ้นทดสอบไปทำการทดสอบแรงดึงและทดสอบการลากขึ้นรูปถ้วยทรงระบอกบนเครื่องทดสอบการขึ้นรูปของอิริคสัน โดยกำหนดค่าอัตราการลากขึ้นรูปตามมาตรฐานที่ 1.8 ผลการทดลองพบว่า ค่าความแตกต่างของของความกว้างปีกถ้วยและค่าความหนาของผนังถ้วยจะแปรผกผันกับอุณหภูมิการอบอ่อน ทั้งนี้การขึ้นรูปตามแนวการรีดจะส่งผลให้ค่าความหนาผนังถ้วยลดลงมากที่สุด ส่วนปีกถ้วยจะมีความกว้างมากที่สุด ในขณะที่การขึ้นรูปในทิศทางขวางแนวรีดค่าความหนาผนังจะลดลงน้อยที่สุดส่วนปีกถ้วยจะมีความกว้างน้อยที่สุด ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสมบัติทางกลของวัสดุที่ได้จากการทดสอบแรงดึง</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/3823 การผสานพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้าเพื่ออาคารอัจฉริยะ: แนวทางสู่การเป็น Net Zero Energy Building 2025-06-18T11:01:39+07:00 สันติ การีสันต์ santi.k@rmutsv.ac.th สิทธิศักดิ์ โรจชะยะ Sittisak.r@rmutsv.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้พลังงานของอาคารเรียนรวมช่างอุตสาหกรรม ภายในวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรมและการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย โดยมุ่งพัฒนาแนวทางออกแบบระบบพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar PV) และระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ที่เหมาะสม ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านการบริหารจัดการโหลดไฟฟ้า และการเพิ่มค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor: PF) ผลการวิเคราะห์พบว่า อาคารมีโหลดไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 80 กิโลวัตต์ โดยระบบ Solar PV ขนาด 427 กิโลวัตต์สามารถผลิตพลังงานได้ประมาณ 80% ของโหลดเฉลี่ยต่อวัน ภายใต้สภาพแสงแดดเฉลี่ย 4.5 ชั่วโมง/วัน และประสิทธิภาพระบบที่ 80% สำหรับระบบ ESS ขนาด 300–350 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถสำรองพลังงานในช่วงที่ไม่มีแสงแดดได้อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังพบว่าค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (PF) ในบางช่วงเวลาต่ำกว่า 0.5 ซึ่งส่งผลให้เกิดการสูญเสียพลังงานและต้นทุนสูง จึงเสนอแนวทางปรับปรุงโดยการติดตั้ง Capacitor Bank หรือ Smart Inverter เพื่อปรับค่า PF ให้อยู่ในช่วง 0.9–1.0 จากผลการวิเคราะห์และการออกแบบระบบโดยรวม พบว่าสามารถ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้มากกว่า 25% และ ลดต้นทุนค่าไฟฟ้ารายเดือนได้ประมาณ 30–35% นอกจากนี้ยังสามารถ ลดพลังงานสูญเสียจากค่า PF ต่ำได้กว่า 15–20% และ ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากกริดหลักลงเฉลี่ย 70–80% ต่อวัน งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการบูรณาการพลังงานหมุนเวียนควบคู่กับระบบบริหารจัดการโหลดอัจฉริยะ เป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนอาคารเรียนไปสู่การเป็น อาคารพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building) ได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/3915 การศึกษาสมบัติเชิงกลและโครงสร้างทางโลหะวิทยาสำหรับการเชื่อมระหว่างเหล็ก Q235 และ AISI 304 โดยวิธีก๊าซทังสเตนอาร์ค GTAW 2025-05-13T09:46:47+07:00 นัฏธวุฒิ มุขน้อย nickzakata@hotmail.com สุรินทร์ สไลวงษ์ Nickzakata@hotmail.com ประวิทย์ มูลนันท์ Nickzakata@hotmail.com มะขาม ปัญญา Nickzakata@hotmail.com เมืองแก้ว ยุตัน Nickzakata@hotmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสมบัติเชิงกลและโครงสร้างทางโลหะวิทยาของรอยเชื่อมบนแผ่นเหล็ก Q235 และ AISI 304 ที่มีขนาดความกว้าง 150 มม. ความยาว 200 มม. และความหนา 6 มม. โดยวิธีก๊าซทังสเตนอาร์ค GTAW ใช้ลวดเชื่อม AWS A5.9: ER309L และทำการเชื่อมโดยใช้เครื่อง RILON TIG 200S แรงดันอาร์ค 120 V ความเร็วในการเชื่อม 13.7 มม./นาที และกำหนดอัตราการไหลของแก๊สปกคลุม 16 ลิตร/นาที การทดสอบเชิงกลและการวิเคราะห์ทางโลหะวิทยาได้ดำเนินการเพื่อประเมินคุณภาพของรอยเชื่อม ผลการทดลองบ่งชี้ความลึกของการแทรกซึมที่สม่ำเสมอและการหลอมรวมที่มีประสิทธิภาพระหว่างโลหะเชื่อมและโลหะฐาน ความต้านทานแรงดึงเฉลี่ยของรอยเชื่อมคือ 467.85 MPa และความต้านทานแรงดึงครากเฉลี่ยคือ 345.86 HV ผลการวิจัยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพารามิเตอร์และวัสดุในการเชื่อมที่เลือกนั้นสามารถผลิตรอยเชื่อมคุณภาพสูงที่มีสมบัติทางกลและลักษณะทางโลหะวิทยาที่น่าพอใจ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/4094 การปรับปรุงกระบวนการผลิตชุดเสริมความแข็งแรงแผงหน้าปัดรถยนต์ 2025-06-11T06:28:52+07:00 ภาณุภัฏ สาธุวงค์ nearmoonsakura@gmail.com ภาสวุฒิ กุณฑล phatsawut17283@gmail.com ณัฐวุฒิ สมนึก nanthawut.so@rmuti.ac.th สุธี คงโคกแฝก kanokwan.ks@gmail.com วรรณนิศา นุชคุ้ม Wannisa.nu@rmuti.ac.th ภูมิบุญ พลต้าง rian.ph@rmuti.ac.th จิตติวัฒน์ นิธิกาญจนธาร Jittiwat.ni@rmuti.ac.th กนกวรรณ เกริกสูงเนิน kanokwan.ks@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตชุดเสริมความแข็งแรงแผงหน้าปัดรถยนต์ โดยมุ่งเน้นการลดระยะเวลาในการทำงานและต้นทุนการผลิตผ่านการลดกิจกรรมที่ไม่สร้างมูลค่า การศึกษาดำเนินการโดยการวิเคราะห์กระบวนการทำงานด้วยแผนภูมิการไหล แผนภูมิก้างปลา และการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาด้วยวิธี FMEA ก่อนดำเนินการปรับปรุงด้วยหลักการ ECRS และ 7 QC Tools เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ผลการศึกษา พบว่าจำนวนขั้นตอนการทำงานลดลงจาก 53 เหลือ 49 ขั้นตอน โดยการจัดวางตำแหน่งจุดวางชิ้นงานใหม่ช่วยลดการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของพนักงาน เพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน และลดความเมื่อยล้า เวลาการผลิตต่อชิ้นลดลงจาก 290.6 เหลือ 274.3 วินาที หรือประมาณ 5.61% และต้นทุนการผลิตลดลงจาก 88,531.2 บาทต่อปี เหลือ 86,420.16 บาทต่อปี คิดเป็น 2.39% ส่งผลให้ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดและความเมื่อยล้าของพนักงานระหว่างการขนย้าย เพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิตโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มในทรัพยากรใหม่</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/3976 อิทธิพลของการปล่อยของเหลวไดอิเล็กทริกในกระบวนการกัดเซาะโลหะด้วยไฟฟ้าที่ส่งผลต่อความสามารถสำหรับการเจาะรูขนาดเล็กบนวัสดุเหล็กกล้าเครื่องมือ AISI P20 2025-06-02T12:23:00+07:00 เชษฐา หนุนเหลือง jesada.ka@rmutsb.ac.th ภูมิภัทร วงษ์ปิติรัตน์ Jesada.ka@rmutsb.ac.th ไพบูลย์ หาญมนต์ Jesada.ka@rmutsb.ac.th เอกชัย รอดพิสา Jesada.ka@rmutsb.ac.th สัญญา คำจริง sanya.k@rmutsb.ac.th เจษฎา แก้ววิชิตร Jesada.ka@rmutsb.ac.th <p>การเจาะรูขนาดเล็กเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในกระบวนการเจาะด้วยเครื่องมือกลเนื่องจากเครื่องมือคมตัดต้องการความเร็วรอบในการหมุนที่สูงและง่ายต่อการเกิดความเสียหายของเครื่องมือคมตัด การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีทำให้เกิดเครื่องจักรสมัยใหม่ที่อาศัยการควบคุมพารามิเตอร์ทางไฟฟ้าทำให้เกิดการสปาร์คภายใต้การปกคลุมด้วยของเหลวไดอิเล็กทริก กระบวนการดังกล่าวจะใช้เครื่องมือเป็นเป็นตัวนำไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่าอิเล็กโทรดทำการสปาร์คกับวัสดุชิ้นงานภายใต้การขวางกันที่เป็นของเหลวไดอิเล็กทริก ทำให้สมบัติทางกลของวัสดุไม่ส่งผลต่อความสามารถในการแปรรูปของวัสดุชิ้นงาน งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาอิทธิพลของรูปแบบการปล่อยของเหลวไดอิเล็กทริกที่ส่งผลต่อความสามารถในการเจาะรูขนาดเล็กในกระบวนการการกัดเซาะโลหะด้วยไฟฟ้า โดยท่อทองเหลืองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 มิลลิเมตร (รูในโต 0.40 มิลลิเมตร) ทำการเจาะทะลุลงบนวัสดุชิ้นงานเหล็กกล้า AISI P20 มีความหนา 25 มิลลิเมตร โดยควบคุมการปล่อยของเหลวไดอิเล็กทริกโดยการฉีดผ่านแกนกลาง และการฉีดผ่านแกนกลางร่วมกับการฉีดด้านข้าง ทั้งในรูปแบบที่มีการปกคลุมและไม่มีการปกคลุมพื้นผิวชิ้นงานด้วยของเหลวไดอิเล็กทริก ทั้งนี้ผลจากการทดลอง พบว่า การฉีดของเหลวไดอิเล็กทริกผ่านแกนลางร่วมกับการฉีดด้านข้างมีอัตราการขจัดเนื้องานที่สูงกว่าการเจาะแบบทั่วไป และการปกคลุมด้วยของเหลวไดอิเล็กทริกจะส่งผลให้อัตราการสึกหรอของอิเล็กโทรดเพิ่มสูงขึ้นแต่ขนาดความแตกต่างของรูเจาะฝั่งขาเข้ากับฝั่งทางออกจะลดต่ำลง</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JTEP/article/view/4051 ระบบคัดแยกวัตถุอัตโนมัติจากสีโดยใช้เทคนิคประมวลผลภาพ 2025-05-24T11:46:54+07:00 ธงชัย เพ็งจันทร์ดี thongchai.p@en.rmutt.ac.th สุทิวัส แววดี Prasarnk@g.swu.ac.th ฤทธิเกียรติ กิจแก้ว Prasarnk@g.swu.ac.th พีระวัฒน์ พิมพันธ์ดี Prasarnk@g.swu.ac.th จิรภัทร จันทร์อุทัย Prasarnk@g.swu.ac.th ประสาน คำดีผล Prasarnk@g.swu.ac.th <p>ระบบคัดแยกวัตถุอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตลดความผิดพลาดจากมนุษย์ และประหยัดเวลาในกระบวนการผลิตการนำหุ่นยนต์ และเทคโนโลยีการตรวจจับต่าง ๆ เช่น การประมวลผลภาพ (image processing) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ช่วยในการคัดแยกวัตถุได้อย่างแม่นยำ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการตรวจจับภาพของ Image Processing ทดสอบการทำพีแอลซีที่ใช้รวมกับการ Image Processing ในการทำงานคัดแยกสี และหาประสิทธิภาพของชุดจำลองการคัดแยกของสีบนระบบสายพานลำเลียงอัตโนมัติงานวิจัยนี้ออกแบบระบบให้มีสามารถคัดแยกวัตถุที่มีสีแตกต่างกันได้ทุกสีตามค่าที่ตั้งไว้ พร้อมปรับความเร็วสายพานได้ 3 ระดับ (ช้า, กลาง, เร็ว) โดยใช้กล้องตรวจจับสีของวัตถุและโซลินอยด์ในการแยกวัตถุที่ตรงตามคุณสมบัติ การทดสอบดำเนินการเพื่อวัดความแม่นยำและประสิทธิภาพของระบบผลการวิจัยพบว่าระบบที่พัฒนาสามารถคัดแยกวัตถุได้อย่างแม่นยำ 100% ตามสีที่ตั้งค่าไว้ ทั้งยังสามารถทำงานต่อเนื่อง และปรับความเร็วได้โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ โครงงานนี้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบคัดแยกวัตถุอัตโนมัติที่มีความแม่นยำสูง และสามารถใช้งานในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตอาหาร การเกษตร และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ระบบนี้ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเป็นเครื่องมือฝึกปฏิบัติที่มีศักยภาพในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านระบบอัตโนมัติในอนาคตได้อย่างแม่นยำ</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีและวิศวกรรมก้าวหน้า