วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ th-TH วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ 2586-8101 การเปรียบเทียบตัวแบบอนุกรมเวลาสำหรับผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/3914 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>&nbsp;โรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการปนเปื้อนของเชื้อต่าง ๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อปรสิต การทำนายจำนวนผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษนั้นจะสามารถนำไปใช้ในการวางแผนกำหนดนโยบายการป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยงานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เปรียบเทียบตัวแบบทำนายอนุกรมเวลาทั้งหมด 4 ตัวแบบ ได้แก่ ตัวแบบ AR(p), ตัวแบบ MA(q), ตัวแบบ ARMA(p,q) และตัวแบบ ARIMA(p,q,d) โดยใช้ข้อมูลจำนวนผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษรายสัปดาห์ของเขตสุขภาพที่ 9 จำนวน 53 สัปดาห์ โดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละของความคาดเคลื่อนสัมบูรณ์ในการประเมินประสิทธิภาพของตัวแบบ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษา พบว่า ตัวแบบที่เหมาะสมกับการทำนายจำนวนผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษของเขตสุขภาพที่ 9 คือ ตัวแบบ ARIMA(1,2,1) ซึ่งตัวแบบให้ค่าค่าเฉลี่ยร้อยละของความคาดเคลื่อนสัมบูรณ์ เท่ากับ 16.20%</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>โรคอาหารเป็นพิษ; อนุกรมเวลา; ตัวแบบอารีมา</p> ศวิตา ทองขุนวงศ์ และภัคพล สวัสกมล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 บทความวิจัย ปัจจัยเสี่ยงและมาตรการป้องกันความเจ็บป่วยจากความร้อนในการเล่นกีฬากลางแจ้งของนักเรียน: กรณีศึกษาโรงเรียนวัดหนองใหญ่ สำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4041 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยจากการเล่นกีฬากลางแจ้งในสภาวะอากาศร้อนในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนวัดหนองใหญ่ สำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร รวมถึงเพื่อเสนอแนวทางในการดูแลและป้องกันความเจ็บป่วยจากภาวะอากาศร้อนที่เหมาะสมสำหรับนักเรียนในโรงเรียนขนาดกลาง งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Methods Research) โดยรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาประกอบด้วยนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 150 คนที่ได้รับการสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) และกลุ่มนักเรียน 10 คน สำหรับการสัมภาษณ์เชิงลึก ข้อมูลเชิงปริมาณถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย Pearson’s Correlation และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ ANOVA ขณะที่ข้อมูลเชิงคุณภาพถูกวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิเคราะห์เชิงธีม (Thematic Analysis)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนในระดับปานกลาง (56.7%) และมีเพียง 30% เท่านั้นที่มีความรู้ในระดับสูง นอกจากนี้ พฤติกรรมเสี่ยงที่พบ ได้แก่ การไม่ดื่มน้ำก่อนออกกำลังกาย (60%) การออกกำลังกายในช่วงอากาศร้อนจัด (11.00 - 14.00 น.) และการเพิกเฉยต่ออาการผิดปกติจากความร้อน ข้อมูลเชิงปริมาณยังแสดงให้เห็นว่า การดื่มน้ำก่อนเล่นกีฬามีความสัมพันธ์เชิงลบกับภาวะเจ็บป่วยจากความร้อน (r = -0.52, p &lt; 0.01) และการออกกำลังกายในช่วงที่มีอุณหภูมิสูงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการเกิดอาการเจ็บป่วย (r = 0.47, p &lt; 0.01)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; จากผลการศึกษานี้ แนวทางการป้องกันที่แนะนำ ได้แก่ การจัดให้มีจุดบริการน้ำดื่มที่เพียงพอ การปรับตารางการเล่นกีฬาให้อยู่ในช่วงเวลาที่อุณหภูมิไม่สูงจนเกินไป และการให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนของภาวะเจ็บป่วยจากความร้อนแก่ครูและนักเรียน</p> ธฤษณุ โภคบุญญานนท์ และคณะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 นวัตกรรมตู้ตากสมุนไพรควบคุมความร้อนด้วยเทคโนโลยี IoT พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อการผลิตสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนตำบลหนองโสน อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4196 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนานวัตกรรมตู้ตากสมุนไพรควบคุมความร้อนด้วยเทคโนโลยี IOT พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อการผลิตสินค้าสมุนไพรมูลค่าสูง (2) เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น (3) เพื่อศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการถ่ายทอดความรู้การใช้นวัตกรรมตู้ตากสมุนไพรควบคุมความร้อนด้วยเทคโนโลยี IOT พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตสินค้าสมุนไพรมูลค่าสูง 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ชาดอกโสน โลชั่นบำรุงผิวดอกโสนกลิ่นตะไคร้หอม และครีมกันแดดดอกโสนสำหรับผิวหน้า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) หมวดอุปกรณ์ IOT ประกอบด้วย NodeMCU ESP8266, DHT sensor, LDR sensor, Relay ใช้กับไฟ DC 12V DC, พัดลมระบายความร้อน DC จำนวน 3 เครื่อง, หลอดไฟทำความร้อน 75 W จำนวน 2 หลอด, Sonoff TH Elite สำหรับตรวจสอบความร้อนภายในตู้คอนโทรล, แผงโซล่าเซลล์ 200w, คอนโทรลชาร์จเจอร์ 12/24Vpwm 30A, แบตเตอรี่ 12v ความจุ 100 แอมป์,อินเวอร์เตอร์ 3000W 12v to200-220V, เบรกเกอร์ 30 แอมป์ 2) แบบทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรม 3) แบบประเมินผลลัพธ์การถ่ายทอดนวัตกรรมเพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับการอบรมและการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมหลังการถ่ายทอดความรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองโสน จำนวน 150 คน ผลการวิจัยพบว่า นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพในระดับมากที่สุด (x = 4.50, SD=0.50) ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังการถ่ายทอดความรู้ให้กับกลุ่มตัวอย่าง พบว่าความพึงพอใจอยู่ที่ระดับมากที่สุด (x = 4.40, SD=0.46) นักเรียนสามารถต่อยอดความรู้และนำนวัตกรรมไปใช้แปรรูปสมุนไพรพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3 ผลิตภัณฑ์ ได้อย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างรายได้ให้กับโรงเรียนเพื่อนำไปสมทบทุนทำกิจกรรมต่าง ๆ ของนักเรียน</p> มณีรัตน์ ภารนันท์ และจินตนา แสงดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเกมมิฟิเคชัน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4140 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับเกมมิฟิเคชัน เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 รวมทั้งเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการแก้ปัญหา และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมดังกล่าว กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านบางประแดง (เลาหดิลกราษฎร์) จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอนผ่าน Google Site แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหา <br>และแบบสอบถามความพึงพอใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบ t-test ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมที่พัฒนา มีประสิทธิภาพเท่ากับ 78.52/78.33 สูงกว่าเกณฑ์ 75/75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมในระดับดีมาก</p> รวี น้อยพิทักษ์ วินัย เพ็งภิญโญ จรินทร อุ่มไกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 การสร้างเสริมจรรยาบรรณวิชาชีพแก่นักศึกษาในระดับอุดมศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4226 <p>การผลิตบัณฑิตในระดับอุดมศึกษา นอกเหนือจากการสอนให้นักศึกษามีความรู้และประสบการณ์ในสาขาวิชาแล้ว ควรมีการสร้างเสริมคุณธรรมและจริยธรรมให้กับนักศึกษา โดยการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาจริยธรรมและรายวิชาอื่น ๆ ทั้งในหลักสูตรและเสริมหลักสูตร ส่งเสริมพฤติกรรมจริยธรรมด้านจิตสาธารณะ คำนึงถึงส่วนรวมและสังคม ทั้งนี้ผู้บริหาร อาจารย์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะต้องปฏิบัติตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อให้นักศึกษาคุ้นชินกับสิ่งแวดล้อมที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรมและเกิดความละอายต่อการกระทำผิด และมีการติดตามพฤติกรรมจริยธรรมของนักศึกษาเพื่อติดตามการคงอยู่และการพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง คุณธรรมจริยธรรมในวิชาชีพนับว่ามีความสำคัญกับวิชาชีพที่ประกอบนั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับผู้เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาชีพเฉพาะทางนั้นได้ จึงควรทำการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมในสาขาวิชาชีพ คุณธรรมจริยธรรมในอาจารย์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งจัดเป็นสภาพแวดล้อมที่จะมีส่วนในการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมในนักเรียน นักศึกษา และพนักงานในองค์กรต่อไป</p> ประดิษฐ์ สงค์แสงยศ และคณะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 การศึกษาเพื่อพัฒนามาตรการป้องกันการนำเข้าผักและผลไม้จากโรงคัดบรรจุ ที่มีประวัติสารพิษตกค้างไม่เป็นไปตามข้อกำหนด https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4209 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของโรงคัดบรรจุผักและผลไม้นำเข้าที่มีประวัติไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสารพิษตกค้าง และเพื่อพัฒนามาตรการป้องกันการนำเข้าให้มีความเข้มงวด และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การศึกษานี้ใช้รูปแบบวิจัยเชิงพรรณนาแบบตัดขวาง โดยรวบรวมข้อมูลผลการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างจากโรงคัดบรรจุ ระหว่างปีงบประมาณ 2565–2567 รวม 131 โรงคัดบรรจุ จำแนกเป็นกลุ่มที่เก็บตัวอย่าง 1 ชนิด และมากกว่า 1 ชนิด โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบไคสแควร์ และไบโนเมียลเทส ในการวิเคราะห์ความแตกต่างของสัดส่วนการผ่านมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่าแนวโน้มโรงคัดบรรจุที่ไม่ผ่านมาตรฐานมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2567 ที่มีสัดส่วนการไม่ผ่านมากกว่า 5 ตัวอย่าง สูงถึงร้อยละ 68.75 ในบางกลุ่ม สะท้อนถึงความไม่เพียงพอของมาตรการสุ่มตรวจแบบเดิม การวิเคราะห์ยังพบว่ากลุ่มที่เก็บตัวอย่างเพียง 1 ชนิดมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มที่เก็บมากกว่า 1 ชนิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) จึงเสนอแนวทางพัฒนามาตรการเฝ้าระวัง 4 ประการ ได้แก่ การประเมินความเสี่ยงรายโรง การส่งเสริมมาตรฐาน GAP Plus ณ ต้นทาง การเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัลข้ามหน่วยงาน และการบังคับใช้บทลงโทษอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าเกษตรที่ไม่ปลอดภัย และยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคไทยอย่างยั่งยืน</p> พิชญพร อำนาจวรประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2 สภาวะที่เหมาะสมในสกัดอะดิโนซีนและคอร์ไดเซปิน จากฐานถั่งเช่าสีทองด้วยวิธีอัลตราโซนิกโดยใช้ตัวทำละลายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSciTech/article/view/4237 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดอะดิโนซีนและคอร์ไดเซปินจากฐานถั่งเช่าสีทอง (<em>Cordyceps militaris</em> spent mushroom substrate; SMS) ด้วยวิธีอัลตราโซนิก โดยใช้ตัวทำละลายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ น้ำซึ่งเป็นตัวทำละลายหลัก และเอทานอลในปริมาณน้อย (น้ำ:เอทานอล ในอัตราส่วน 99:1 ถึง 95:5) การทดลองประกอบด้วยการศึกษาประสิทธิภาพของตัวทำละลายและอุณหภูมิที่เหมาะสมที่ใช้ในการสกัด พบว่าการใช้น้ำ:เอทานอล ในอัตราส่วน 96:4 เป็นตัวทำละลาย เวลาในการสกัด 15 นาที ให้ปริมาณอะดิโนซีนและคอร์ไดเซปินสูงสุด (3.33 ± 0.01 mg/kg และ 479.01 ± 0.98 mg/kg ตามลำดับ) เมื่อนำตัวทำละลายที่เหมาะสมมาศึกษาอุณหภูมิที่ใช้ในการสกัดในเวลาที่เท่ากัน พบว่าการสกัดที่ 60 องศาเซลเซียส ให้ผลการสกัดสูงสุด (อะดิโนซีน 4.16 ± 0.02 mg/kg และคอร์ไดเซปิน 640.31 ± 0.15 mg/kg) วิธีอัลตราโซนิกผนวกกับตัวทำละลายผสมและอุณหภูมิที่เหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดสารสำคัญจากฐานถั่งเช่าสีทองได้อย่างมีนัยสำคัญ และสามารถเป็นแนวทางในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัสดุเหลือทิ้งจากการเพาะเลี้ยงถั่งเช่าสีทอง</p> สุนทรา เฟื่องฟุ้ง และคณะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มทร.สุวรรณภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-02 2025-09-02 9 2