วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU <p><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตเนื้อหา</strong></p> <p> วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ( Journal of Science and Technology Kasetsart University ; JSTKU ) เป็นวารสารทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิจัย และบทความทางวิชาการ ของอาจารย์ นักวิจัย นิสิต และนักวิชาการ ตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ ดําเนินการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์ในระบบ Thai Journal Online System ซึ่งมีกำหนดการออกเผยแพร่ราย 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ เป็นประจำทุกปี เปิดรับบทความทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ในสาขา ดังนี้</p> <ul> <li>สาขาพืชศาสตร์ (Plant Sciences)</li> <li>สาขาเทคโนโลยีและการจัดการ (Technology and Management)</li> <li>สาขาสัตวศาสตร์ (Animal Science)</li> <li>สาขาวิศวกรรมศาสตร์ (Engineering)</li> <li>สาขาสัตวแพทยศาสตร์ (Veterinary Medicine)</li> <li>สาขาวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพและกีฬา (Science and Health Science &amp; Sport)</li> </ul> <p> บทความที่จะส่งมาตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะต้องเป็นบทความที่ผู้เขียนได้จัดทําขึ้นเอง</p> <p><strong>ประเภทบทความที่รับ</strong><strong><br /></strong>ตีพิมพ์ผลงาน 2 ประเภท คือ</p> <ul> <li>บทความวิจัย (Research aricle)</li> <li>บทความวิชาการ (Academic article)</li> </ul> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์<br /></strong>กําหนดเผยแพร่เป็นประจำทุกปี ปีละ 3 ฉบับ</p> <ul> <li>ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน</li> <li>ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม</li> <li>ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</li> </ul> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p> บทความที่ได้รับการเผยแพร่ตีพิมพ์ในวารสารมีการตรวจสอบ และพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer- review) จำนวน 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาบทความที่มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และมิได้อยู่ในสถาบันเดียวกันกับผู้นิพนธ์บทความ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความ และผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blinded Peer review) ผ่านระบบ ThaiJO</p> <p> เมื่อบทความได้รับการตรวจสอบและอนุมัติให้ตีพิมพ์แล้ว บทความดังกล่าวจะได้รับการตรวจสอบอีกครั้งในด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ และความถูกต้องของการอ้างอิงก่อนขึ้นเผยแพร่บทความ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใดๆ ในทุกกระบวนการ</p> <p><strong>เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร</strong></p> <p> ISSN 3027-6179 (Print)</p> <p> ISSN 3027-6209 (Online)</p> en-US sakheena.r@ku.th (ซากีนา รุ่งโรจน์) sakheena.r@ku.th (ซากีนา รุ่งโรจน์) Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การตรวจสอบพันธุ์อ้อยกำแพงแสนในอ้อยปลูกชุดปี 2016 ที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูกอ้อยในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3131 <p>ทำการตรวจสอบพันธุ์อ้อยกำแพงแสน โดยศึกษาเสถียรภาพและศักยภาพของพันธุ์อ้อยในลักษณะที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตอ้อย ซีซีเอส และผลผลิตน้ำตาล ซึ่งเป็นลักษณะทางปริมาณที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง เมื่อปลูกในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน โดยใช้วิธี GGE biplot การทดลองนี้ ได้ทำการตรวจสอบพันธุ์อ้อยกำแพงแสนชุดปี 2016 จำนวน 10 พันธุ์ โดยมีพันธุ์กำแพงแสน 01-12 และพันธุ์ขอนแก่น 3 เป็นพันธุ์เปรียบเทียบ ทดสอบในภาคกลาง 9 แปลง และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 แปลง วางแผนการทดลองแบบ RCBD จำนวน 3 ซ้ำ ผลการทดลองพบว่า ในลักษณะผลผลิตอ้อย ซีซีเอส และผลผลิตน้ำตาล มีเปอร์เซ็นต์ความแปรปรวนของปัจจัยสภาพแวดล้อมสูงสุดประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ ปัจจัยปฏิกิริยาสัมพันธ์ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และปัจจัยพันธุกรรมต่ำสุดประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ผลการวิเคราะห์ GGE biplot พบว่า พันธุ์อ้อยที่แสดงความดีเด่นในลักษณะผลผลิตอ้อย ได้แก่ พันธุ์กำแพงแสน 16-2-58 ในลักษณะซีซีเอส ได้แก่ พันธุ์กำแพงแสน 16-1-203 ในลักษณะผลผลิตน้ำตาล ได้แก่ พันธุ์กำแพงแสน 01-12 ขอนแก่น 3 กำแพงแสน 16-1-203 กำแพงแสน 16-2-25 และ กำแพงแสน 16-2-58 พันธุ์กำแพงแสนที่มีความเหมาะสมในพื้นที่ปลูกอ้อยภาคกลาง ได้แก่ พันธุ์กำแพงแสน 16-1-203 และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ พันธุ์กำแพงแสน 16-2-58 และ กำแพงแสน 16-2-25</p> วัสสพันธ์ ชุ่มเย็น, เรวัต เลิศฤทัยโยธิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3131 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเบื้องต้นในการใช้แสงผสมจากหลอดแอลอีดีเพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น (Caulerpa lentillifera J.Agardh, 1837) ในโรงเรือน https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3013 <p>การศึกษาเบื้องต้นในการใช้แสงแอลอีดีเพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น (<em>Caulerpa lentillifera</em> J.Agardh, 1837) ในโรงเรือน มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นที่ได้รับแสงสี ต่าง ๆ จากหลอดไฟ LED ที่มีการผสมแสงให้มีความยาวคลื่นแสงแตกต่างกัน 3 ชุด คือ สีน้ำเงินผสมกับสีแดง (1B:3R), สีขาวผสมกับสีแดง (1W:2R) และสีขาวผสมกับสีน้ำเงิน (1W:2B) และแสงตามธรรมชาติ ดำเนินการทดลองเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นเป็นระยะเวลา 14 วัน โดยใช้น้ำทะเลความเค็ม 30 ppt โดยให้มีความเข้มข้นแอมโมเนียรวมเฉลี่ย 0.03±0.01 mg/l ผลการทดลองพบว่าชุดการทดลองที่ได้รับแสงธรรมชาติ มีน้ำหนักเฉลี่ย 876.67±193.99 g น้ำหนักเพิ่มขึ้น 75.33±38.80 % ของน้ำหนักเริ่มต้น และ DGR เท่ากับ 3.93±1.07 % /day สาหร่ายที่ได้รับแสงผสมในชุดการทดลอง 1B:3R, 1W:2R และ 1W:2B มีน้ำหนักสาหร่ายสดเฉลี่ย 776.67±41.86, 761.00±61.22 และ741.67±72.17 g ตามลำดับ มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นคิดเป็น 55.33±8.37, 52.20±12.24 และ 48.33±14.43 % ของน้ำหนักเริ่มต้น ตามลำดับ และ DGR เท่ากับ 3.07±0.48, 2.91±0.42 และ 2.89±0.61 % /day ตามลำดับการเจริญเติบโตของสาหร่ายพวงองุ่นไม่มีความแตกต่างทางสถิติในระหว่างชุดการทดลอง (P&gt;0.05) ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่าแสง LED สามารถนำมาใช้เป็นแหล่งกำเนิดแสง เพื่อเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลในสภาพแวดล้อมที่มีแสงธรรมชาติไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายทะเลได้</p> วราชัย เรืองน้อย, อรุณรัตน์ เสาสีสวัสดิ์, วิสัย คงแก้ว, นฤชล ภัทราปัญญาวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3013 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 ผลของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงต่อการเจริญเติบโตของผักสลัดเรดโอ๊คที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3438 <p>งานทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของจำนวนครั้งในการพ่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทางใบที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของผักสลัดเรดโอ๊ค วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ จำนวน 5 ซ้ำ และ 5 กรรมวิธี คือ จำนวนครั้งของการพ่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทางใบของผักสลัดเรดโอ๊ค ได้แก่ 0, 1, 2, 3 และ 4 ครั้งหลังย้ายปลูก บันทึกข้อมูลการเจริญเติบโตของผักสลัดเรดโอ๊คทุกสัปดาห์จนกระทั่งเก็บเกี่ยวผลผลิต ประกอบด้วย จำนวนใบ ความเขียวใบ เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น ความกว้างทรงพุ่ม น้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งต้น ผลการทดลองพบว่าทุกกรรมวิธีให้การเจริญเติบโตของผักสลัดเรดโอ๊คไม่แตกต่างกันทางสถิติ ยกเว้นความกว้างทรงพุ่มที่อายุ 5 สัปดาห์หลังย้ายปลูก พบว่าการพ่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ครั้งหลังย้ายปลูก ให้ขนาดทรงพุ่มมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีที่มีการพ่นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทางใบ จำนวน 2, 3 และ 4 ครั้ง</p> นภาพรรณ หนิมพานิช, ธนพล แพร่งกระโทก, ภูมิสกุล พรมมาก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3438 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 ศักยภาพการสะสมไฟโตลิทของพันธุ์ข้าวไทย https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2969 <p>ไฟโตลิท (Phytolith) เป็นโครงสร้างซิลิกาอสัณฐานชนิดไม่มีผลึก จัดเป็น Non-labile carbon ที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนระยะยาวในนาข้าว การทดลองนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการสะสมของไฟโตลิทในเนื้อเยื่อใบและรากของข้าวไทยพันธุ์ต่าง ๆ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับการทำงานของยีนควบคุมการเคลื่อนย้ายซิลิคอน จำนวน 2 กลุ่มยีน ได้แก่ ยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการนำซิลิคอนเข้าสู่เซลล์ (<em>OsLsi1</em> และ <em>OsLsi6</em>) และยีนที่นำซิลิคอนออกจากเซลล์ (<em>OsLsi2</em> และ <em>OsLsi3</em>) ผลการทดลองพบว่า ไฟโตลิทสะสมในเนื้อเยื่อรากมากกว่าแผ่นใบและกาบใบข้าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p<u>&lt;</u>0.05</em>) โดยมีการสะสมของไฟโตลิทสูงสุดในรากของข้าวพันธุ์ กข 51 และ กข 43 เท่ากับ 146.10 และ 120.03 มก./ก. ตามลำดับ ปริมาณไฟโตลิท รวมทั้งต้นของข้าวกข 51 มากกว่าข้าวขาวดอกมะลิ 105 ถึง 2.01 เท่า นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการแสดงออกของยีนที่ทำหน้าที่ควบคุมการนำซิลิคอนออกจากเซลล์ ได้แก่ยีน <em>OsLsi2</em> และ <em>OsLsi3 </em>กับปริมาณไฟโตลิท (r = 0.49*) ซึ่งทำหน้าที่ขับซิลิคอนจากเซลล์หนึ่งเข้าสู่อีกเซลล์หนึ่ง ทำให้เกิดการลำเลียงซิลิคอนในต้นพืช และเก็บสะสมในรูปของไฟโตลิท</p> ศิรัชญา เหลืองจารุธร, สหณัฐ เพชรศรี, วาสินี พงษ์ประยูร, ศิริพร ศรีภิญโญวณิชย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2969 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 ศักยภาพของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ต่อต้านโรคกาบใบเน่าของข้าวไรซ์เบอร์รี่ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2933 <p>โรคกาบใบเน่าของข้าวไรซ์เบอร์รี่สาเหตุจากเชื้อรา <em>Sarocladium oryzae</em> เป็นโรคหนึ่งที่สำคัญ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงทั้งปริมาณและคุณภาพ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ต่อการยับยั้งเชื้อรา <em>S. oryzae</em> ในห้องปฏิบัติการ และควบคุมโรคกาบใบเน่าของข้าวไรซ์เบอร์รี่ในโรงเรือนปลูกพืชทดลอง เชื้อรา <em>S. oryzae</em> ที่ใช้ทดสอบแยกได้จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่แสดงอาการกาบใบเน่า และเมล็ดด่างด้วยวิธี tissue transplanting และผ่านการพิสูจน์การเกิดโรคแล้ว การทดสอบประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ 7 สปีชีส์ต่อการยับยั้งการเจริญของเชื้อรา <em>S. oryzae</em> ในสภาพห้องปฏิบัติการโดยใช้วิธี dual culture บนอาหารเลี้ยงเชื้อ Potato dextrose agar ผลการทดลองพบว่ายีสต์ <em>Torulaspora indica</em> DMKU-RP31 สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อรา <em>S. oryzae</em> ได้ดีที่สุดโดยมีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเชื้อราสาเหตุโรคอยู่ที่ 22.67% ในขณะที่จุลินทรีย์ปฏิปักษ์อื่นยับยั้งได้ 6 – 20.67% การทดสอบความสามารถในการควบคุมโรคกาบใบเน่าในสภาพโรงเรือนปลูกพืชทดลองโดยพ่นเซลล์หรือสปอร์แขวนลอยจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ความเข้มข้น 1.0 x 10<sup>5</sup> เซลล์ต่อมล. บริเวณกาบใบของข้าวไรซ์เบอร์รี่อายุ 75 วัน 1 ครั้ง ในระยะตั้งท้อง เทียบกับกรรมวิธีควบคุมที่ใช้น้ำ พบว่าเมื่อข้าวมีอายุ 103 วัน เชื้อรา <em>Trichoderma asperellum</em> CB-Pin-01, <em>T. indica</em> DMKU-RP31 และ <em>Bacillus amyloliquefaciens</em> สามารถลดดัชนีการเกิดโรคกาบใบเน่าได้เมื่อเทียบกับกรรมวิธีควบคุม โดยพบดัชนีการเกิดโรค 11.23%, 12.54% และ 13.22% ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีควบคุมพบดัชนีการเกิดโรคสูงถึง 42.53%</p> ศศิศ คมวีระวงศ์, วรรณวิไล อินทนู ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2933 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินผลกระทบของปริมาณฝนสะสมต่อพื้นที่น้ำท่วมในลุ่มน้ำคลองสวนหมาก จังหวัดกำแพงเพชร ด้วยแบบจำลอง HEC-RAS https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3198 <p>งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการประเมินผลกระทบของปริมาณฝนสะสมต่อพื้นที่น้ำท่วมในลุ่มน้ำคลองสวนหมากจังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้แบบจำลอง HEC-RAS ร่วมกับเทคนิค "Rain on Grid" เพื่อจำลองสถานการณ์ฝนตกหนัก เช่น ปรากฏการณ์ "Rain Bomb" ซึ่งเป็นฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นและอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน การจำลองครั้งนี้ได้ใช้ปริมาณฝนสะสม 250 มิลลิเมตรต่อวัน ต่อเนื่อง 3 วัน พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบจากระดับน้ำในแม่น้ำปิง 3 กรณี ได้แก่ ระดับน้ำเฉลี่ย (+74.48 ม.รทก.), ระดับสูงสุดปี 2554 (+76.93 ม.รทก.) และระดับล้นตลิ่ง (+79.00 ม.รทก.) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับน้ำในแม่น้ำปิงมีผลต่อขอบเขตและอัตราการไหลของน้ำท่วม โดยพื้นที่น้ำท่วมเพิ่มขึ้นจาก 52,631 ไร่, 53,721 ไร่ และ 58,247 ไร่ ตามลำดับ ความสูงของแม่น้ำส่งผลให้อัตราการไหลลดลง แต่ระยะเวลาระบายน้ำนานขึ้น</p> พีระวัฒน์ เจริญสินธุ์, วราวุธ วุฒิวณิชย์, ชัยยะ พึ่งโพธิ์สภ, นพดล โค้วสุวรรณ, สมชาย ดอนเจดีย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3198 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การประเมินสมรรถนะของแบบจำลอง AquaCrop สำหรับจำลองผลผลิตข้าวภายใต้สภาวะความเค็มที่ต่างกัน: กรณีศึกษาจากการปลูกทดลองในถังที่ภาคกลางของไทย https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2931 <p>ความเค็มของดินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการผลิตข้าวทั่วโลก โดยทั่วไปตรวจวัดจากการนำไฟฟ้าของสารละลายในดิน งานวิจัยนี้ประเมินความสามารถของแบบจำลอง AquaCrop ในการจำลองผลผลิตข้าวภายใต้ระดับความเค็มที่แตกต่างกัน โดยใช้การปลูกทดลองในถังที่ควบคุมสภาพแวดล้อมดำเนินการที่โรงเรือนทดลองในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 20 มกราคม 2567 ข้าวถูกปลูกในถังขนาด 28x28x35 cm บรรจุดิน 20 cm แบ่งเป็น 4 ชุดการทดลอง ได้แก่ (ก) ชุดควบคุม (ไม่ใส่เกลือ) (ข) ใส่เกลือ 50 g NaCl (ค) 100 g NaCl และ (ง) 150 g NaCl แต่ละชุดมี 5 ซ้ำ การรันแบบจำลอง AquaCrop นำเข้าข้อมูลสภาพอากาศจากการบันทึก (อุณหภูมิ พลังงานรังสีแสงอาทิตย์ ความเร็วลม ความชื้น) สมบัติของดิน พารามิเตอร์ข้าวและการจัดการน้ำชลประทาน ผลการทดลองพบว่าความเค็มมีผลให้น้ำหนักชีวมวลเหนือดินและผลผลิตข้าวลดลงเมื่อระดับความเค็มเพิ่มขึ้น แบบจำลอง AquaCrop สามารถจำลองแนวโน้มของชีวมวลและผลผลิตข้าวที่ลดลงสอดคล้องกับผลการทดลอง โดยแบบจำลองให้ผลลัพธ์น่าพอใจในกรณีของชีวมวลเหนือดินแต่ประเมินผลผลิตข้าวสูงกว่าผลการทดลองเล็กน้อย การศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ AquaCrop สำหรับใช้เป็นเครื่องมือศึกษาการสนองของข้าวต่อความเค็ม การปรับเทียบพารามิเตอร์โดยใช้ข้อมูลจากการทดลองที่หลากหลายขึ้น และ การพัฒนารายละเอียดของกระบวนวิธีประเมินการตอบสนองของพืชต่อความเค็มเพิ่มเติม จะช่วยให้แบบจำลองทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น</p> ณัชพล การะกูล, ณัฐธัญ สุจริตธนารักษ์, ภัทธาวุธ เพ็ชรรัตน์, ณัชชา ว่องชิงชัย, ธีรภัทร เพชรดุลย์, ภวัต ศรีศรทอง, เอกสิทธิ์ โฆสิตสกุลชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/2931 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 โครงการศึกษาการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำประแสร์เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่ EEC https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3541 <p>งานวิจัยนี้ได้ทำการวิเคราะห์ระบบแหล่งน้ำของอ่างเก็บน้ำประแสร์ โดยศึกษา 4 กรณี ได้แก่ กรณีที่ 1 มีการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนอ่างเก็บน้ำประแสร์จากคลองสะพาน เส้นที่ 1 และมีการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ และอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล กรณีที่ 2 เป็นกรณีที่ 1 เพิ่มการสูบน้ำจากคลองวังโตนด เส้นที่ 1 ไปเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ กรณีที่ 3 เป็นกรณีที่ 2 เพิ่มการสูบน้ำจากคลองสะพาน เส้นที่ 2 ไปเติมยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ และเพิ่มการผันน้ำไปยังอ่างเก็บน้ำหนองค้อเพิ่มเติม กรณีที่ 4 เป็นกรณีที่ 3 เพิ่มการสูบผันน้ำคลองวังโตนด เส้นที่ 2 ไปเติมยังอ่างเก็บน้ำประแสร์ ผลการศึกษา พบว่า กรณีที่ 4 สามารถผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ได้สูงที่สุด รองลงมาคือกรณีที่ 3 และ 2 ตามลำดับ การเพิ่มน้ำต้นทุนจากแหล่งน้ำภายนอกหลายแหล่ง สามารถช่วยเพิ่มความมั่นคงและประสิทธิภาพการใช้น้ำของอ่างเก็บน้ำประแสร์</p> เสาวลักษณ์ พุ่มอุสิต, ธีรพล ศิริวัฒนะกุล, ไชยาพงษ์ เทพประสิทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3541 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การตรวจสอบหาสารให้กลิ่นในกาแฟอาราบิกาด้วย Gas Chromatography –Olfactometry – Mass Spectrometry https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3023 <p>การศึกษานี้ได้วิเคราะห์สารให้กลิ่นที่สำคัญในกาแฟอาราบิก้าด้วยเทคนิค SPME Gas Chromatography-Olfactometry Mass Spectrometry โดยใช้แคปปิลารีคอลัมน์ชนิดนอน-โพล่าร์ (HP-5MS) และอุณหภูมิในการบ่มสกัดที่ 60 องศาเซลเซียส จากการวิเคราะห์ด้วย Gas Chromatography-Olfactometry (GC-O) พบว่าสารระเหยที่ให้กลิ่นสำคัญในกาแฟอาราบิก้าที่มีปริมาณมากที่สุดอยู่ในกลุ่มไพราซีน ฟูแรน และไพโรล โดยมีตัวอย่างสารที่สำคัญ ได้แก่ 2,6-dimethylpyrazine ซึ่งให้กลิ่นคั่ว, 2-ethyl-3-methylpyrazine ให้กลิ่นใบเตย, 2-furanmethanol ให้กลิ่นเน่าหรือเหม็นเขียว, และ 1-(2-furanylmethyl)-1H-pyrrole ให้กลิ่นเหม็นเขียวหญ้า การตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์ พบว่ามีความเป็นเส้นตรงในช่วงความเข้มข้น 1-40 มิลลิกรัมต่อลิตร ขีดจำกัดการตรวจพบและขีดจำกัดในการวัดเชิงปริมาณของการตรวจวัดเท่ากับ 0.21 และ 0.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ</p> จิราภรณ์ บุราคร, ปวีณา พลราช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3023 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครื่องออกกำลังกายหลักการความเสียดทาน https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3109 <p>งานวิจัยนี้นำเสนอการพัฒนาเครื่องออกกำลังกายโดยใช้หลักการแรงเสียดทานซึ่งออกแบบตามสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เลขที่ 86670 เครื่องออกกำลังกายนี้มีลักษณะคล้ายรถที่มีล้อ โดยมีพื้นผิวเรียบที่ด้านหลัง<br /><br /></p> <p><br />สำหรับผลักและเชือกทั้งสองด้านสำหรับดึง งานวิจัยนี้มุ่งเน้นที่การออกแบบ การสร้าง และการทดสอบเครื่องโดยไม่ได้ใช้กลุ่มตัวอย่างมนุษย์ เครื่องมีน้ำหนักเปล่า 21 kg และสามารถเพิ่มน้ำหนักเพิ่มเติมได้โดยใช้ถุงน้ำหนักตั้งแต่ 5 ถึง 50 kg กระบวนการสร้างเครื่องได้แก่การสร้างโครงเหล็ก หุ้มวัสดุ และติดตั้งล้อ ในการทดลองได้ทำการวัดแรงที่ใช้ในการผลักและดึงเครื่องออกกำลังกายโดยใช้เครื่องวัดแรง โดยแรงตั้งฉากที่ใช้ในการทดลองมีค่าระหว่าง 206.0 N ถึง 696.5 N และทดลองบนพื้นสองประเภท ได้แก่ พื้นกระเบื้องยางและพื้นปูพรม ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า บนพื้นกระเบื้องยางที่แรงตั้งฉาก 696.5 N แรงที่ใช้ในการเริ่มเคลื่อนที่เครื่องออกกำลังกายคือแรงผลักเฉลี่ย 32.04 N และแรงดึงเฉลี่ย 31.56 N ในขณะที่บนพื้นปูพรมภายใต้แรงตั้งฉากเดียวกัน แรงที่ต้องใช้คือ แรงผลักเฉลี่ย 56.1 N และแรงดึงเฉลี่ย 45.0 N ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของแรงที่ต้องใช้ระหว่างพื้นผิวทั้งสองประเภทและระหว่างการกระทำของแรงผลักและแรงดึง ดังนั้นเครื่องออกกำลังกายที่นำเสนอคาดว่าจะนำไปใช้ออกกำลังกายระดับความเข้มข้นต่ำได้ด้วยการเลือกใช้แรงตั้งฉากและพื้นผิวที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งาน</p> รจนา ประไพนพ, อรรถพล ชัยมนัสกุล, กามินทร์ บุญศรี, ดลภา พศกชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3109 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาชนิดของครีมบำรุงผิวที่มีผลต่อการเกิดรอยลายนิ้วมือแฝงบนวัสดุพื้นผิวที่ไม่มีรูพรุน ด้วยเทคนิคการรมไซยาโนอะคริเลต https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3446 <p>ลายนิ้วมือแฝงเป็นวัตถุพยานสำคัญที่ใช้ในการระบุอัตลักษณ์บุคคล เนื่องจากลายนิ้วมือแต่ละบุคคลมีลักษณะสำคัญพิเศษที่แตกต่างกัน แต่เนื่องจากในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้เครื่องประทินผิวต่างๆ กับผิวกาย ฝ่ามือ นิ้วมือ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดครีมบำรุงผิว ซึ่งมีองค์ประกอบแตกต่างกันที่จะผลต่อการเกิดลายนิ้วมือแฝงบนวัสดุพื้นผิวที่ไม่มีรูพรุน และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการคงสภาพของลายนิ้วมือแฝงด้วยเทคนิค การรมไซยาโนอะคริเลต ผลการวิจัยพบว่าครีมบำรุงผิวต่างชนิดกันส่งผลต่อการเกิดลายนิ้วมือแฝงแตกต่างกัน โดยครีมบำรุงผิวชนิดเจลว่านหางจระเข้ส่งผลให้ประสิทธิภาพการเกิดลายนิ้วมือแฝงลดลงมากที่สุดเนื่องจากมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก แตกต่างจากครีมบำรุงผิวชนิดอื่นที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย และพบว่าที่การจัดเก็บลายนิ้วมือที่ระยะเวลา 3 วัน มีประสิทธิภาพการคงอยู่ของลายนิ้วมือมากที่สุด สรุปได้ว่าชนิดครีมบำรุงผิวและระยะเวลาการจัดเก็บลายนิ้วมือส่งผลต่อคุณภาพของรอยลายนิ้วมือแฝง ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านนิติวิทยาศาสตร์ได้ต่อไป</p> ฐิตาภา ศรีสวัสดิ์ , นันทิชา โสมนัส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3446 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การสะสมทางชีวภาพของโลหะหนักในปลาเศรษฐกิจบางชนิดจากบ้านบางบ่อ จังหวัดสมุทรสงคราม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3499 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การสะสมทางชีวภาพของ แคดเมียม ทองแดง ตะกั่ว และสังกะสี ที่สะสมอยู่ใน เหงือก ตับ และเนื้อ ของปลากระบอกดำ (Greenback mullet, <em>Liza subviridis</em>) ปลากุเรา (Fourfinger threadfin, <em>Eleutheronema tetradactylum</em>) ปลาทู (Short-bodied mackerel, <em>Rastrelliger brachysoma</em>) และปลาอินทรีบั้ง (Narrow-barred Spanish mackerel, <em>Scomberomorus commerson</em>) ที่เก็บรวบรวมจากอวนลอย บริเวณบ้านบางบ่อ จังหวัดสมุทรสงคราม ผลจากการวิเคราะห์ปริมาณของโลหะหนักที่สะสม พบสังกะสีมีการสะสมสูงสุดในเหงือกของปลาทู (52.762 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ส่วนทองแดงมีการสะสมสูงสุดในตับของปลากระบอกดำ (24.275 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) ตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วในตัวอย่างปลาที่นำมาศึกษาครั้งนี้ ทองแดงและสังกะสีส่วนใหญ่มีการสะสมในตับและเหงือก<strong> </strong>ส่วนเนื้อพบการสะสมน้อยที่สุดโดยมีแนวโน้มการสะสมมากที่สุดในปลาอินทรีบั้ง ปริมาณการสะสมของโลหะหนักในอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของปลาทุกชนิดที่ทำการศึกษา พบว่าทองแดงมีการสะสมในตับสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) ปริมาณทองแดงและสังกะสีที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ในเนื้อปลาต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดของกระทรวงสาธารณสุขและของสหภาพยุโรป ซึ่งปลอดภัยต่อผู้บริโภค</p> พรหมพร พิมจ่อง, ศิรประภา เปรมเจริญ, พิเชษฐ อนุรักษ์อุดม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3499 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัญญาประดิษฐ์กับการพัฒนาวิทยาศาสตร์การกีฬา: มุมมองระดับสากล https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3647 <p>ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่นิยมเรียกว่า “เอไอ” เป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบันรวมทั้งการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์การกีฬา บทความวิชาการนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬา 2) วิเคราะห์บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ในการพัฒนาประสิทธิภาพ การบริหารจัดการ และการฟื้นฟูสมรรถภาพในบริบทของวิทยาศาสตร์การกีฬา และ 3) ประเมินผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อวงการกีฬาในระดับสากล ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และจริยธรรม ทั้งนี้เพื่อเติมเต็มช่องว่างขององค์ความรู้ พร้อมนำเสนอแนวทางการพัฒนาที่ครอบคลุมในอนาคต ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้รับการพัฒนาอย่างกว้างขวางทั้งในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ โดยในวงการวิทยาศาสตร์การกีฬาได้มีการนำไปใช้ในระบบติดตามสมรรถภาพทางกาย การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การตัดสินที่แม่นยำ และการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของนักกีฬาอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งปัญญาประดิษฐ์ยังมีบทบาทสำคัญที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน การลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บของนักกีฬา และการออกแบบกระบวนการฟื้นฟูสมรรถภาพที่แม่นยำและเหมาะสมยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการวิเคราะห์ผลกระทบในระดับมหภาคยังพบว่า การพัฒนาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมการกีฬา สร้างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการเล่นและการรับชมกีฬา และเปิดประเด็นทางจริยธรรมเกี่ยวกับความเป็นธรรมในการแข่งขันและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล ท้ายที่สุดบทความนี้ยังได้นำเสนอแนวทางเชิงนโยบายที่เน้นการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม การลดความเหลื่อมล้ำ และการพัฒนากรอบกำกับดูแลที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของระบบกีฬาในระดับสากลอย่างยั่งยืน</p> เตชภณ ทองเติม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3647 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700 การดำเนินการวางแผนทรัพยากรองค์กรบนคลาวด์และระบบการวางแผนทรัพยากร องค์กรแบบดั้งเดิมสำหรับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3072 <p>เทคโนโลยีคลาวด์ในรูปบริการระบบเครือข่ายมีความก้าวหน้าและยืดหยุ่นมากขึ้นทำให้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อความสำเร็จในยุคดิจิทัลและกระบวนการทางธุรกิจของบริษัท ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร และความสามารถเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์รายใหญ่ที่ผสมผสานการจำลองเสมือนเข้ากับเทคโนโลยีคลาวด์ ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP ถือเป็นข้อกังวลประการหนึ่งของ วิสาหกิจขนาดกลางและ<br /><br /></p> <p><br />ขนาดย่อม SME ในด้านการเงิน ปัจจุบัน บริษัทการสื่อสารข้อมูล และโทรคมนาคมได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องการวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP ออนไลน์พร้อมด้วยโมดูลมาตรฐานพร้อมคุณสมบัติการปรับแต่งบางอย่างควบคู่ไปกับบริการการสื่อสารและการจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ โดยการปรับตัวในการดำเนินการการวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP และยังมีการวางตลาดเป็นซอฟต์แวร์เพื่อนำมาใช้ในองค์กรขนาดเล็กและขนาดใหญ่สามารถใช้การประมวลผลแบบคลาวด์ตามประเภท โครงสร้างพื้นฐานเป็นบริการ Iaa) แพลตฟอร์มเป็นบริการ PaaS และ ซอฟต์แวร์ในรูปแบบบริการ SaaS วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือเพื่อระบุข้อดีและข้อเสียของระบบ การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP แบบดั้งเดิมเทียบกับระบบ การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP บนคลาวด์ในองค์กรขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เอกสารนี้จะตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจสำหรับการใช้งาน การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP ใน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME ระหว่าง การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP บนคลาวด์และระบบ การวางแผนทรัพยากรองค์กร ERP แบบดั้งเดิม โดยเน้นถึงความแตกต่างในแนวทางกระบวนการทางธุรกิจของบริษัท</p> สิทธิเดช สิริสุขะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JSTKU/article/view/3072 Thu, 21 Aug 2025 00:00:00 +0700