https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/issue/feed วิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา 2025-10-07T14:32:22+07:00 ดร.ชุมสันติ แสนทวีสุข jrved_2022@ivene4.ac.th Open Journal Systems <p><strong>ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา</strong></p> <p><strong>Print ISSN : </strong>2821-9716</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong>2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> <strong>: </strong>วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา มีนโยบายเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่นำไปสู่ การพัฒนาการอาชีวศึกษา หรือการนำองค์ความรู้ด้านการอาชีวศึกษาที่ผ่านกระบวนการวิจัย และนวัตกรรมเพื่อ นำไปสู่การพัฒนาสถานประกอบการชุมชน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ประกอบไปด้วยขอบเขตเนื้อหา ด้าน เทคโนโลยีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ บริหารธุรกิจ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอาชีวศึกษา</p> https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4352 การสร้างสื่อสาธิตการฝึกวัดชิ้นงานจริงด้วยเวอร์เนียร์ไฮเกจในระบบเมตริก 2025-10-03T11:05:59+07:00 ศรศิลป์ หาญชนะ somloveaui@gmail.com อธิยุต สีสุข somloveaui@gmail.com ศักรินทร์ ไชยปัญญา somloveaui@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิภาพของสื่อการเรียนรู้สำหรับการฝึกวัดละเอียดด้วยการใช้เวอร์เนียร์ไฮเกจในระบบเมตริก โดยเน้นการเพิ่มพูนทักษะด้านการวัดชิ้นงานจริงของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) สาขาวิชาเทคนิคการผลิต วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาสาขาเทคนิคการผลิต &nbsp;จำนวน 22 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) และดำเนินการประเมินคุณภาพของสื่อจากผู้เชี่ยวชาญใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอน ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และด้านการวัดและประเมินผล</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัย พบว่าสื่อการเรียนรู้สำหรับการฝึกวัดละเอียดด้วยการใช้เวอร์เนียร์ไฮเกจในระบบเมตริก คุณภาพในระดับดีมาก โดยมีค่าเฉลี่ยรวม 4.76 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.733 ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผลการทดสอบประสิทธิภาพของชุดสื่อการเรียนรู้ในระหว่างการเรียน (E1) มีค่าเฉลี่ย 89.94 และผลหลังเรียน (E2) มีค่าเฉลี่ย 94.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการเรียนยังแสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 โดยค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ 7.82 และหลังเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 9.27 ทั้งนี้ ผลการประเมินทักษะการปฏิบัติงานจริงด้วยการวัดชิ้นงานพบว่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.164 คิดเป็นร้อยละ 81.64 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แสดงให้เห็นว่าสื่อการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ในการฝึกทักษะการวัดละเอียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความสามารถในการปฏิบัติงานจริงของนักศึกษาได้เป็นอย่างดี</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4361 การศึกษางานที่เป็นมาตรฐานและเวลามาตรฐาน การคัดแยกและบรรจุกระสอบโดยใช้หลักการของลีน กรณีศึกษา หจก.xxx ค้ากระสอบ 2025-10-07T11:39:14+07:00 จิตติ จันทร์แก้ว Nutchira.wannasit@gmail.com รัฐเศรษฐ์ ไกรเดช Nutchira.wannasit@gmail.com นุชจิรา วรรณสิทธิ์ Nutchira.wannasit@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาขั้นตอนการทำงานและจัดทำงานการคัดแยกและบรรจุกระสอบ ที่เป็นมาตรฐาน และ 2) เพื่อคำนวณค่าเวลามาตรฐานการทำงานการคัดแยกและบรรจุกระสอบของพนักงาน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้แนวคิดลีนเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่ดำเนินการวิจัย คือ หจก. XXX ค้ากระสอบ จังหวัดอุบลราชธานี ผู้ให้ข้อมูล คือพนักงานในแผนกต่าง ๆ จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสังเกตขั้นตอนการทำงาน และแบบบันทึกเวลาการทำงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ การวิเคราะห์เนื้อหา และออกแบบกระบวนการทำงาน ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การคัดแยกและบรรจุกระสอบมีกระบวนการทำงาน มีทั้งหมด 19 ขั้นตอน ประกอบด้วย การปฏิบัติงาน (operation) 6 ขั้นตอน การขนย้าย (transport) 5 ขั้นตอน การรอคอย (Delay) 7 ขั้นตอนและมีขั้นตอนการจัดเก็บเพื่อรอจำหน่าย (storage) 1 ขั้นตอน โดยมีการจัดทำงานที่เป็นมาตรฐานในรูปแบบของแผนภูมิกระบวนการไหล</li> <li>เวลามาตรฐานที่ใช้ในการคัดแยกและบรรจุกระสอบ ทั้งหมด 394.68 นาที โดยแบ่งเป็นเวลาในการปฏิบัติงาน 21.420 นาที การรอคอย 358.48 นาที และการขนย้าย 14.78 นาที โดยมีกำลังการผลิต (Capacity) คือ 7,868 ชิ้นต่อ/วัน</li> </ol> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4362 การพัฒนาชุดการสอนวิชางานเครื่องมือกลเบื้องต้น เรื่อง งานเจียระไนลับคมตัดด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP สำหรับผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2025-10-07T13:17:27+07:00 ชนะ สุทธิประภา chana@utc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพชุดการสอนวิชางานเครื่องมือกลเบื้องต้น เรื่อง งานเจียระไนลับคมตัด ด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP สำหรับผู้เรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดการสอนด้วยกระบวนการสอนรูปแบบ MIAP 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดการสอนด้วยกระบวนการสอน รูปแบบ MIAP ประชากรกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ผู้เรียนจากวิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี สาขาวิชาช่างกลโรงงาน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 จำนวน 16 คน ผลการวิจัยพบว่าค่าประสิทธิภาพชุดการสอน มีค่าเท่ากับ 81.85/80.94 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80 ค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ด้วยชุดการสอนเท่ากับ 0.71 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะปฏิบัติเพิ่มขึ้น 0.71 หรือคิดเป็นร้อยละ 71 และ ผู้เรียนมีความพึงพอใจของผู้เรียนที่เรียนด้วยชุดการสอน อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45&nbsp; (&nbsp;&nbsp; = 4.45) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 (S.D. = 0.53)</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4363 ชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ 2025-10-07T13:22:08+07:00 สมชาติ บุญศรี notesittipon@aitc.ac.th สิทธิพล ศรีวิเศษ notesittipon@aitc.ac.th อภิสิทธิ์ ภูผิวผา notesittipon@aitc.ac.th ิอนันต์ กวินวาจา notesittipon@aitc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ 3) เพื่อทดสอบสมรรถนะชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามที่ทดลองใช้ชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 20 คน โดยได้ค่าเฉลี่ย (x̅) ของจุดประเมินทั้ง 5 ด้านการประเมิน อยู่ในเกณฑ์ที่ระดับคะแนน 4.38 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อยู่ในเกณฑ์ที่ระดับคะแนน 0.64 ไม่เกิน 1.0</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลทดสอบพบว่า ใช้รถจักรยานไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ 1 คันมาถอดวิเคราะห์หาวงจรไฟฟ้าเพื่อทำชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยต์ไฟฟ้า ผลการวัดค่าความต้านทานและแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้ ชุดสื่อการสอนสำหรับการวิเคราะห์ปัญหารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าขนาดมอเตอร์ 350 วัตต์ เพื่อหาค่าความต้านทานและแรงดันไฟฟ้าที่วัดได้ แสดงผลดังนี้ หมายเลขเซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์ มีค่าความต้านทาน 20.59-22.75 mΩ และแรงดันไฟฟ้า 11.68-11.71 v ค่าที่วัดได้ชุดฝึกสถานะทำงานปกติ ผลการวัดค่าความเป็นฉนวน แสดงการผลดังนี้สายไฟสีแดง ค่าความต้านทาน 532 v แรงดันไฟฟ้า 5.50 GΩ สีสายไฟสีดำค่าความต้านทาน 532 V แรงดันไฟฟ้า 5.50 GΩ ค่าที่วัดได้ชุดฝึกสถานะทำงานปกติ ผลการวัดค่า แรงดันมอเตอร์ที่วัดได้ แสดงการผลดังนี้ขดลวดมอเตอร์ ขั้วบวก กับ ขั้วลบ ค่าแรงดันมอเตอร์ สวิตช์ OFF ได้ 46.75 V สวิตช์ ON ได้46.72 V และขณะมอเตอร์ทำงาน ได้ 46.3 Vขดลวดมอเตอร์ U กับ V ค่าแรงดัน มอเตอร์ สวิตช์ OFF ได้ 0.0 V สวิตช์ ON ได้ 1.3 V และขณะมอเตอร์ทำงาน ได้ 15.93 Vขดลวดมอเตอร์ U กับ W ค่าแรงดันมอเตอร์ สวิตช์ OFF ได้ 0.0 V สวิตช์ ON ได้ 1.6 V และขณะมอเตอร์ทำงาน ได้ 15.93 Vขดลวดมอเตอร์ V กับ W ค่าแรงดันมอเตอร์ สวิตช์ OFF ได้ 0.0 V สวิตช์ ON ได้ 1.5 V และขณะมอเตอร์ทำงาน ได้ 15.93 Vค่าที่วัดได้ชุดฝึกสถานะทำงานปกติ</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4364 สถานีชาร์จแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ แบบระบบ Off grid ขนาดแผง Solar Cell 1100 วัตต์ 2025-10-07T14:12:59+07:00 สมชาติ บุญศรี notesittipon@aitc.ac.th สิทธิพล ศรีวิเศษ notesittipon@aitc.ac.th อภิสิทธิ์ ภูผิวผา notesittipon@aitc.ac.th ดนุพร รื่นพรต notesittipon@aitc.ac.th กิตติพงศ์ นะวะคำ notesittipon@aitc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;งานวิจัยนี้ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและสร้างสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์และทดสอบสมรรถนะในการทำงานของสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แบบระบบ Off grid ขนาดแผง Solar Cell 1100 วัตต์ จากผลการออกแบบ และผลทดสอบพบว่าโครงสร้างของสถานีชาร์จแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์มีขนาด กว้างxยาวxสูง 2.54x3.33x1.80 เมตร ผลการทดสอบการทำงานของแผง Solar Cell ขนาด 1100 วัตต์ อัดประจุแบตเตอรี่ 72 โวลต์ 20 แอมป์ 1 ก้อนเต็ม ใช้ระยะเวลาในการอัดประจุ 5 ชั่วโมง</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4365 การพัฒนาระบบชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยติดตั้งระบบหัวชาร์จแบบ Type 2 2025-10-07T14:19:50+07:00 อภิสิทธิ์ ภูผิวผา notesittipon@aitc.ac.th สมชาติ บุญศรี notesittipon@aitc.ac.th สิทธิพล ศรีวิเศษ notesittipon@aitc.ac.th <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยติดตั้งระบบหัวชาร์จแบบ type 2 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพระบบชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยติดตั้งระบบหัวชาร์จแบบ type 2 3) เพื่อศึกษาและทดสอบระบบชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าโดยติดตั้งระบบหัวชาร์จแบบ type 2 จากผลการทดสอบพบว่า 1) ผลการทดสอบการชาร์จรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยหัวชาร์จอะแดปเตอร์กับแบตเตอรี่ 72 V 21 Ah เก็บผลการทดลองทุก 20 นาที ค่าแรงดันไฟฟ้าแบตเตอรี่ก่อนชาร์จประจุอยู่ที่ 68.4 V เมื่อชาร์จประจุแบตเตอรี่ไปได้ 160 นาที หรือ 2 ชั่วโมง 40 นาที ปริมาณแรงดันของแบตเตอรี่อยู่ที่ 74.8 V เมื่อแบตเตอรี่เต็ม ค่าปริมาณแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่อยู่ที่ 83.8 V ใช้ระยะเวลาในการประจุอยู่ที่ 320 นาที หรือ 5 ชั่วโมง 20 นาที 2) ผลการทดสอบการชาร์จประจุแบตเตอรี่ โดยเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อหาพลังงานที่ใช้ในการชาร์จประจุแบตเตอรี่ 72 V 21 Ah โดย On-board Charger OBC จ่ายกระแสไฟคงที่เข้าแบตเตอรี่อยู่ที่ 17.62 A เมื่อนาทีที่ 55 กระแสไฟที่จ่ายเข้าแบตเตอรี่ลดน้อยลง จนถึง 65 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 5 นาที On-board Charger OBC หยุดจ่ายกระแสไฟเข้าแบตเตอรี่ คือแบตเตอรี่เต็ม แรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่เต็มอยู่ที่ 84.1 V ใช้เวลาชาร์จประจุ 80 นาที หรือ 1 ชั่วโมง 20 นาที และพลังงานที่เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใช้ทั้งหมด 1.72 kWh 3) ผลการทดสอบการชาร์จประจุแบตเตอรี่ โดยสถานีชาร์จ เพื่อหาพลังงานที่ใช้ชาร์จประจุแบตเตอรี่ 72 V 21 Ah โดย On-board Charger OBC จ่ายกระแสไฟคงที่เข้าแบตเตอรี่ที่ 17.5 A จนถึงนาที 55 กระแสไฟที่จ่ายอยู่ที่ 16.1 A และลดลงเลื่อย ๆ จนต่ำกว่า 1 A ที่นาที 80 หรือ 1 ชั่วโมง 20 นาที สถานีชาร์จหยุดทำงาน คือแบตเตอรี่เต็ม On-board Charger OBC จ่ายพลังงานให้แบตเตอรี่ 1.50 kWh</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4366 การศึกษาต้นทุนระยะยาวของยานยนต์ไฟฟ้าในแง่ของการบำรุงรักษา การเปลี่ยนแบตเตอรี่ และการประหยัดพลังงาน เทียบกับยานยนต์แบบใช้น้ำมัน 2025-10-07T14:23:48+07:00 ณัฐกร หมื่นทอง somkuanben2511@gmail.com วัฒนา ทองเทพ somkuanben2511@gmail.com ชุมสันติ แสนทวีสุข somkuanben2511@gmail.com อภิสิทธิ์ พรมดอน somkuanben2511@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles: EVs) ได้รับความสนใจในฐานะยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคขนส่ง การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์และเปรียบเทียบต้นทุนระยะยาวของยานยนต์ไฟฟ้ากับยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในสามมิติหลัก ได้แก่ (1) ต้นทุนการบำรุงรักษา (2) ต้นทุนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ และ (3) การประหยัดพลังงาน ผลการศึกษาพบว่ายานยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนการบำรุงรักษาต่ำกว่า เนื่องจากมีระบบที่ซับซ้อนน้อยกว่า เช่น การไม่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในและระบบไอเสีย ทั้งยังมีการใช้ระบบเบรกแบบ regenerative braking ที่ช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกเมื่อเปรียบเทียบกับยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ด้านต้นทุนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ แม้จะเป็นต้นทุนที่สำคัญ แต่แนวโน้มการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น การลดราคาของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ solid-state ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่และลดต้นทุนการเปลี่ยนได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ในด้านการประหยัดพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้ามีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงกว่า โดยสามารถแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่ไปเป็นพลังงานขับเคลื่อนได้มากกว่า 90% ในขณะที่ยานยนต์เชื้อเพลิงสามารถแปลงพลังงานได้เพียง 25-30% นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของยานยนต์ไฟฟ้ายังต่ำกว่า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 0.75-1.00 บาทต่อกิโลเมตร เทียบกับ 2.5-3.0 บาทต่อกิโลเมตรสำหรับยานยนต์เชื้อเพลิง ทั้งนี้ หากมีการใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม ต้นทุนการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้าจะยิ่งลดลง และมีผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผลการวิจัยยังระบุถึงข้อจำกัด เช่น ราคาซื้อเริ่มต้นของยานยนต์ไฟฟ้าที่สูงกว่า และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ เช่น สถานีชาร์จไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น การลดภาษี การส่งเสริมเงินอุดหนุน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จะช่วยเร่งการยอมรับยานยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4367 คุณสมบัติของนักบัญชีที่พึงประสงค์ของสำนักงานบัญชี ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ 2025-10-07T14:28:10+07:00 ณัฐิกา สิมชมภู Nutthika.orasa@gmail.com ธิดาวรรณ สรรพศรี Nutthika.orasa@gmail.com นพปฏล ลาลุน Nutthika.orasa@gmail.com ทิวารัตน์ ชาลี Nutthika.orasa@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณสมบัติของนักบัญชีที่พึงประสงค์ของสำนักงานบัญชีในเขตอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดคุณสมบัติของนักบัญชี ที่พึงประสงค์ของสำนักงานบัญชี กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ เจ้าของกิจการ ผู้จัดการสำนักงาน หัวหน้างาน และพนักงานบัญชีของสำนักงานบัญชี ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 38&nbsp; คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงค่าความถี่ (Frequency) และแสดงผลเป็นค่าร้อยละ (Percentage) วิธีการหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า ผู้ให้ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุน้อยกว่า 30 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี ประสบการณ์ในการทำงานน้อยกว่า 3 ปี เป็นองค์กรขนาดเล็ก และส่วนใหญ่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างานคุณสมบัติของนักบัญชีที่พึงประสงค์ของสำนักงานบัญชี ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านวิชาชีพบัญชี อยู่ในระดับมากที่สุด แสดงถึงความต้องการทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพโดยตรง ด้านจริยธรรม อยู่ในระดับมากที่สุด แสดงถึงความต้องการนักบัญชีที่มีจริยธรรมและความซื่อสัตย์ในระดับสูง ด้านภาษีอากร อยู่ในระดับมากที่สุด ถึงความต้องการทักษะทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญในวิชาชีพโดยตรง ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการสื่อสาร อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและด้านการสื่อสาร สะท้อนถึงความสำคัญของความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นและการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ซึ่งผลการวิจัยที่ได้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนนักศึกษาระดับเทคโนโลยีบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี ให้เป็นนักบัญชีที่มีความรู้ความสามารถมีทักษะด้านบัญชี ตรงกับความต้องการของสำนักงานบัญชีในท้องถิ่น และเพื่อให้นักศึกษามีความเชื่อมั่นในตนเอง พร้อมก้าวเข้าสู่สถานประกอบการ และประกอบอาชีพด้วยความภาคภูมิใจและมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JRVED/article/view/4368 การสร้างและหาประสิทธิภาพสื่อการเรียนการสอน เรื่องการตัดเกลียวใน 2025-10-07T14:32:22+07:00 ธนกร จันทร์ทอง Teacher.racing@gmail.com รังสรรค์ ศรีเสมอ Teacher.racing@gmail.com ชัยสมร ทนทาน Teacher.racing@gmail.com จุมพล ชุมสงค์ Teacher.racing@gmail.com อุทัย พลเขตต์ Teacher.racing@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การสร้างและหาประสิทธิภาพสื่อการเรียนการสอน เรื่องการตัดเกลียวใน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา ก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาต่อสื่อการเรียนการสอน เรื่องการตัดเกลียวใน&nbsp; รายวิชาซ่อมบำรุงเครื่องมือกล ของวิทยาลัยเทคนิคยโสธร สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาแผนกวิชาช่างกลโรงงาน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 3 กลุ่ม 642 ชก1 ที่ลงทะเบียนเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566&nbsp; จำนวน 13 คน ได้มาโดยวิธีแบบเจาะจง จำนวน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แผงชุดทดลอง ใบงาน แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ &nbsp;&nbsp;ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Dependent) วิธีดำเนินการวิจัย โดยจัดการศึกษารายชิ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไปตรวจประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ปรับปรุงแก้ไขจนแล้วเสร็จ แล้วไปทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง โดยทดสอบเก็บคะแนนก่อนเรียน หลังเรียน และหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียน พร้อมวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของนักศึกษา</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า ชุดสื่อการเรียนการสอน เรื่องการตัดเกลียวใน&nbsp; มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.33/81.54 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/80 ผลการทดสอบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนกับหลังเรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนมีนัยสำคัญระดับ .05 และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อชุดสื่อการเรียนการสอน เรื่องการตัดเกลียวใน&nbsp; ที่สร้างขึ้นโดยรวมอยู่ในระดับมาก (̅X = 4.04, SD = 0.61)</p> 2025-06-05T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิจัยและพัฒนาอาชีวศึกษา