วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT <p><strong>วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์</strong><br /><strong>Journal of Engineering and Industrial Technology, Kalasin University</strong></p> <p><strong>ISSN 2985-0274 (Print)<br />ISSN 2985-0282 (Online)</strong></p> <p>เป็นวารสารที่จัดทำขึ้นโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม รับตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ จำนวน 2 ประเภทบทความ ได้แก่ บทความวิชาการ และบทความวิจัย รับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>วารสารมีวาระออกปีละ 6 ฉบับ ได้แก่ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม - กุมภาพันธ์ <br />ฉบับที่ 2 มีนาคม - เมษายน <br />ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน<br />ฉบับที่ 4 กรกฏาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 5 กันยายน - ตุลาคม<br />ฉบับที่ 6 พฤศจิกายน - ธันวาคม</p> <p>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้<br />- วิศวกรรมทั่วไป (General Engineering)<br />- วิศวกรรมอุตสาหการและวิศวกรรมการผลิต (Industrial and Manufacturing Engineering)<br />- วิศวกรรมเครื่องกล (Mechanical Engineering)<br />- เทคโนโลยีสื่อและประยุกต์ใช้ (Media Technology and Application)<br />- สถาปัตยกรรม (Architecture)</p> <p>บทความที่ส่งเข้ามายังวารสารจะได้รับการประเมินคุณภาพของผลงานทางวิชาการโดยหัวหน้ากองบรรณาธิการ (Editor in Chief) ถ้าบทความมีคุณภาพที่อาจได้รับการตีพิมพ์ หัวหน้ากองบรรณาธิการจะมอบหมายให้บรรณาธิการประจำเรื่อง(Section editor) เป็นผู้พิจารณาและดำเนินการส่งบทความให้ผู้ประเมินบทความ (Peer reviewers) ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวนอย่างน้อย 3 ท่าน ซึ่งบทความที่ถูกส่งไปยังผู้ประเมินจะเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้เขียนบทความ และผู้ประเมิน (Double -Blinded Review) เมื่อผู้ประเมินบทความส่งข้อคิดเห็นมายังบรรณาธิการประจำเรื่อง บทความที่ถูกประเมินจะได้รับการตัดสินใจจากกองบรรณาธิการโดยอาศัยความคิดเห็นของผู้ประเมินเสียงข้างมาก ดังนี้ ยอมรับให้ตีพิมพ์โดยไม่มีการแก้ไข (Accept Submission) บทความมีการแก้ไข (Revisions Required) และ ปฏิเสธการตีพิมพ์บทความ (Decline Submission) </p> <p><strong>ปัจจุบันวารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</strong></p> th-TH <p>ลิขสิทธิ์ของวารสาร</p> <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ<br />บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใด จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรจากวารสารศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยก่อนเท่านั้น</p> jeit@ksu.ac.th (ดร.สรายุทธ ฐิตะภาส) savalee.ut@ksu.ac.th (ดร.สวลี อุตรา) Thu, 25 Apr 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนาเว็บไซต์ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุรินทร์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1976 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อวิเคราะห์และออกแบบเว็บไซต์ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุรินทร์ และ 2. เพื่อพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูล คือ กลุ่มทอผ้าไหมจังหวัดสุรินทร์ เลือกมาแบบวิธีตามสะดวก จำนวน 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลายผ้าอัตลักษณ์ประจำจังหวัดสุรินทร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลจะเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์เนื้อหา สังเคราะห์ข้อมูล และสรุปประเด็นที่จะออกแบบเว็บไซต์ ผลการวิจัย ดังนี้ 1) ผลการวิเคราะห์และออกแบบ พบว่า ระบบกำหนดผู้ใช้งาน คือ ผู้ดูแลระบบ ในการจัดการข้อมูลหลัก 5 หน้าเมนู ได้แก่ ลายผ้า การทอผ้า แหล่งเรียนรู้ แหล่งจำหน่าย และเกี่ยวกับเรา มีจำนวนตารางในฐานข้อมูล 12 ตาราง และ 2) ผลการพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพ พบว่า เว็บไซต์มี 5 หน้าเมนูหลักที่สอดคล้องกับการวิเคราะห์และออกแบบระบบ สื่อที่ปรากฎบนเว็บไซต์ประกอบด้วยข้อมูลภาพ เสียง วิดีโอ ข้อความ นอกจากนี้ในการนำข้อมูลมาใช้ได้ดำเนินการภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ และผลการทดสอบประสิทธิภาพระบบ ดังนี้ แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด คิดเป็นร้อยละ 93 เอสอีโอ คิดเป็นร้อยละ 83 ประสิทธิภาพ คิดเป็นร้อยละ 82 และการช่วยเหลือพิเศษ คิดเป็นร้อยละ 80</p> คณารัตน์ เมฆแสน, นนทรีย์ ธงชัย, กิตติพศ บุญญะวัติพงศ์, วิจิตรา โพธิสาร Copyright (c) 2024 วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1976 Thu, 25 Apr 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาห่วงโซ่ธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/2147 <p>งานวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาห่วงโซ่ธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ และเพื่อวิเคราะห์กิจกรรมโลจิสติกส์ของธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ในจังหวัดกาฬสินธุ์ ผลของการศึกษาพบว่า ห่วงโซ่ธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ แพลตฟอร์ม ร้านอาหาร ผู้ใช้บริการหรือลูกค้า และพนักงานส่งอาหารหรือไรเดอร์ โดยแพลตฟอร์มจะทำหน้าที่บริหารจัดการเครือข่าย เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้อย่างเป็นระบบ เกิดการไหลเวียนของข้อมูล เงิน สินค้า และข้อมูลย้อนกลับจากการใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ของห่วงโซ่ธุรกิจส่งอาหารออนไลน์ พบว่า ต้นน้ำได้แก่ ร้านอาหาร กลางน้ำได้แก่ แพลตฟอร์มและพนักงานส่งอาหารหรือไรเดอร์ ปลายน้ำได้แก่ ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ ผลการวิเคราะห์กิจกรรมโลจิสติกส์ 13 กิจกรรมพบว่า ต้นน้ำ คือ ร้านอาหาร มีความเกี่ยวข้องกับทุกกิจกรรมของโลจิสติกส์ทั้ง 13 กิจกรรม กลางน้ำ คือ แพลตฟอร์มและพนักงานส่งอาหาร/ไรเดอร์ มีความเกี่ยวข้อง 10 กิจกรรม ในขณะที่ปลายน้ำ ซึ่งคือ ลูกค้า มีความเกี่ยวข้อง 3 กิจกรรม กิจกรรมที่สามารถเป็นทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ประกอบด้วย การบริการลูกค้า การดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้า โลจิสติกส์ย้อนกลับ และการติดต่อสื่อสารทางด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหลักของห่วงโซ่อุปทานธุรกิจส่งอาหารออนไลน์</p> ชลลดา วิชาชัย, อริสา นาริโส, รัชฎา แต่งภูเขียว Copyright (c) 2024 วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/2147 Thu, 25 Apr 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้แอปพลิเคชัน 7-Delivery โดยการจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร ของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่นในเขตกรุงเทพมหานคร https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1974 <p>การวิจัยนี้มีเป้าหมายหลักคือการศึกษาพฤติกรรมในการตัดสินใจของผู้ใช้บริการแอปพลิเคชัน 7-Delivery ของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น โดยมีวัตถุประสงค์คือ (1) ศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภคที่ใช้บริการแอปพลิเคชันดังกล่าว (2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคโนโลยีซึ่งทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกใช้บริการ และ (3) ศึกษาปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภครับรู้ความเสี่ยงซึ่งทำให้ตัดสินใจเลือกใช้บริการแอปพลิเคชันดังกล่าว การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยนี้จะใช้ทั้งสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน การวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาจำนวน 400 คน คือ ประชากรที่ใช้บริการแอปพลิเคชัน 7-Eleven Delivery แบบจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น ในเขตสุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (เพศหญิงจำนวน 280 คน และเพศชายจำนวน 120 คน) อายุระหว่าง 24-29 ปี ส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีและเป็นนักศึกษา ส่วนเหตุผลที่ทำให้เลือกใช้บริการ เนื่องจากค่าส่งฟรี มีการใช้บริการประมาณ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และมักใช้บริการในช่วงเวลา 18.00-21.00 น. สินค้าที่สั่งซื้อมากที่สุด คือ อาหาร โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยไม่เกิน 250 บาทต่อครั้ง ชำระเงินผ่านระบบจ่ายเงินออนไลน์ โดยจะส่งสินค้าไปยังที่อยู่ที่ระบุ อีกทั้งพบว่าความคิดเห็นต่อปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีอยู่ในระดับสูง และปัจจัยการรับรู้ความเสี่ยงอยู่ในระดับต่ำ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่าปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยีมีผลต่อการเลือกใช้แอปพลิเคชัน 7-Delivery โดยการจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคารของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่นในเขตกรุงเทพ มีจำนวน 3 ด้าน คือ การรับรู้ถึงความง่ายในการใช้งาน ทัศนคติที่มีต่อการใช้งาน และการใช้งานจริง ส่วนปัจจัยการรับรู้ความเสี่ยงมีจำนวน 3 ด้าน คือ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ความเสี่ยงด้านการเงิน และความเสี่ยงด้านระยะเวลา ซึ่งมีผลสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> นิศากร สรรพเลิศ, พีรพัฒน์ การถัก, จินตนา อ่อนลา Copyright (c) 2024 วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1974 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบเสียงภาษาไทยสำหรับผู้ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1995 <p>เนื่องจากช่วงหลังมานี้จะเห็นได้ว่ามีผู้คนสนใจเรียนภาษาไทยเพิ่มมากขึ้น และมาจากหลายประเทศทั่วโลก ทำให้ชาวต่างชาติหันมาสนใจเกี่ยวกับภาษาไทยเพิ่มมากยิ่งขึ้น กระแสความสนใจนี้มาพร้อมกับการเปิดอะไรหลาย ๆ อย่างทั้งในโลกดิจิทัล การเปิดพรมแดนในด้านของภาษา การเดินทางที่ง่ายขึ้น การส่งออกสินค้าไปจนถึงการส่งออกละคร ซีรี่ย์ และกระแส soft power ต่าง ๆ วัตถุประสงค์เพื่อให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนรู้ภาษาไทยหรือเข้ามาทำงานในประเทศไทย ได้รู้ว่าตัวเองนั้นพูดภาษาไทยได้ดีและคล้ายคลึงกับเจ้าของภาษามากแค่ไหน จึงทำให้ผู้วิจัยสร้างโมเดลพัฒนาเปรียบเทียบเสียงภาษาไทยสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้ภาษาไทย โดยเครื่องมือที่จะนำมาทำการเปรียบเทียบเสียงภาษาไทย ผู้วิจัยใช้โมเดลวิสเปอร์สมอล เป็นการจับคู่เสียงมาเปรียบเทียบเสียงพูดภาษาไทยด้วยความคล้ายของลำดับที่มีความแตกต่างกันในด้านเวลาหรือความเร็ว และมีการถอดข้อความจากเสียงของชาวต่างชาติต้องทำความเข้าใจลักษณะของสัญญาณเสียงในเชิงเวลาและความถี่ เพื่อที่จะใช้ในด้านการทำงานของการสื่อสารและต้องการที่จะฝึกภาษาไทย ซึ่งการออกเสียงภาษาไทยนั้นชาวต่างชาติอาจไม่แน่ใจว่าตนเองพูดได้ชัดเจนหรือคล้ายคลึงกับเจ้าของภาษามากเพียงใด และจากการทดลองที่ผู้วิจัยได้ทำการทดลองได้ผลการวิจัยว่าคำหรือประโยคที่ชาวต่างชาติพูดนั้นนำมาถอดเสียงในโมเดลวิสเปอร์สมอลผลของการถอดเสียงออกมามีความแม่นยำในทางภาษาค่อนข้างสูงมาก</p> ชญานิษฐ์ เชี่ยวชาญ , ทิวาภรณ์ ร่วมทรัพย์ , ศรัณณ์ลักษณ์ เรียบเรียง , สุพาพร บรรดาศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/1995 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ระบบบริหารจัดการร้านอาหารออนไลน์ กรณีศึกษา ร้านตู้แดง https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/2212 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านอาหารออนไลน์ กรณีศึกษาร้านตู้แดง 2) ประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีต่อระบบบริหารจัดการร้านอาหารออนไลน์ กรณีศึกษาร้านตู้แดง โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาความพึงพอใจจำนวน 142 คน ประกอบด้วย เจ้าของร้านตู้แดง ผู้ใช้ทั่วไป และผู้เชี่ยวชาญระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ระบบบริหารจัดการร้านอาหารออนไลน์ โดยใช้กระบวนการออกแบบด้วยวงจรการพัฒนาระบบ พัฒนาเว็บไซต์ด้วยภาษา PHP และใช้ MySQL ในการจัดการฐานข้อมูล 2) แบบสอบถามความพึงพอใจของการใช้งานระบบบริหารจัดการร้านอาหารออนไลน์ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านคุณภาพของเนื้อหา ด้านการออกแบบ และด้านประสิทธิภาพการนำไปใช้งาน โดยวิเคราะห์ผลทางสถิติด้วยค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การประเมินความพึงพอใจเพื่อหาคุณภาพของเนื้อหาพบว่าอยู่ในระดับพอใจมาก (𝑥̅ = 4.50, S.D = 0.50) คุณภาพของระบบด้านการออกแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.70, S.D = 0.37) และด้านประสิทธิภาพการนำไปใช้งานอยู่ในระดับพอใจมากที่สุด (𝑥̅ = 4.58, S.D = 0.53)</p> พัชรพร ศาลาคำ, จิณณวัตร ทะลาสี Copyright (c) 2024 วารสารวิศวกรรมและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIT/article/view/2212 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700