วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC
<p>คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสานวิทยาเขตขอนแก่น กำหนดออกวารสารฉบับออนไลน์รายหกเดือน ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม และจัดพิมพ์รูปเล่มรายปี ภายใต้ชื่อ “วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม” เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่บทความและงานวิจัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ นวัตกรรมและเทคโนโลยี รวมถึงงานวิจัยสหวิทยาการและสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคลอบคลุมเนื้อหาที่เป็นองค์ความรู้พื้นฐาน การประยุกต์ จนกระทั่งการนำไปใช้ประโยชน์ ทั้งในแง่ทฤษฎี การทดลอง การออกแบบหรือการพัฒนาอุปกรณ์ รวมถึงการจำลองการทำงานของระบบ หรือกระบวนการต่างๆ เป็นต้น บทความที่ได้รับการตีพิมพ์จะถูกกลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิแบบ double blind peer review โดยพิจารณางานจากความคิดสร้างสรรค์ ความใหม่ คุณภาพของการเขียนบรรยายและผลการทดลองที่แสดงให้เห็นการค้นพบแบบมีนัยสำคัญ</p> <p>ISSN 2822-129X (Print)</p> <p>ISSN 2985-0207 (Online)</p>Journal of Engineering and Innovative Researchth-THวารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม2822-129Xประสิทธิภาพของอัลกอริทึมแมลงหวี่สำหรับการออกแบบคานลึกคอนกรีตเสริมเหล็ก
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC/article/view/3625
<p>งานวิจัยนี้นำเสนอประสิทธิภาพของอัลกอริทึมแมลงหวี่ในการออกแบบคานลึกคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการออกแบบที่มีความประหยัดสูงสุด อัลกอริทึมแมลงหวี่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ Microsoft Visual Studio และทดสอบออกแบบกับตัวอย่างคานลึกจำนวน 3 ตัวอย่าง โดยมีการกำหนดค่าจำนวนแมลงหวี่ไว้ตั้งแต่ 100 ถึง 500 ตัว และจำนวนการทำซ้ำตั้งแต่ 50 ถึง 500 ครั้ง ผลการทดลองพบว่า จำนวนแมลงหวี่และจำนวนการทำซ้ำมีผลกระทบโดยตรงต่อการค้นพบคำตอบที่เหมาะสมของอัลกอริทึมแมลงหวี่ ยิ่งกว่านั้น การเลือกใช้จำนวนแมลงหวี่ตั้งแต่ 400 ตัวและจำนวนการทำซ้ำตั้งแต่ 350 ครั้งขึ้นไปจะส่งผลให้ได้รับราคาเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ดีกว่าค่าอื่น นอกจากนี้ ผลการออกแบบที่เหมาะสมยังมีความประหยัดมากกว่าวิธีการออกแบบอื่นที่ถูกนำมาเปรียบเทียบโดยเฉลี่ยร้อยละ 8</p>Assanai Tapao
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-302025-06-3031113การกำจัดสารปนเปื้อนสไตรีนในปิโตรเลียมอีเทอร์ 40-60 โดยการดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC/article/view/3526
<p>The removal of contaminants in petroleum ether 40-60 with an adsorption method using 9 types of activated carbon (AC) was investigated. The optimum condition was achieved by varying the types of AC, ratios between solvent volume to AC amount, and adsorption time. The GC-FID results reveal that the main impurity in petroleum ether 40-60 is styrene. By using activated carbon type BITU8x30 with a ratio of 900L:135Kg and adsorption time of 24 hours, styrene was removed up to 98.43%. The purification of petroleum ether 40-60 was also confirmed by UV-visible spectrometry. This adsorption method provides efficiency, cost effectiveness and low energy consumption. Moreover, this proposed method can reduce time and steps of petroleum ether 40-60 purification in industrial scale as well.</p>Wimonrat Tongpoothorn
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-302025-06-30311418การสร้างแบบจำลองสนามแม่เหล็กของมอเตอร์แม่เหล็กถาวรแบบฟลักซ์ตามแนวแกน โดยใช้วิธีไฟไนท์อิลิเมนต์แบบ 3 มิติ
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC/article/view/3937
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาผลกระทบของตำแหน่งการติดตั้งแม่เหล็กถาวรต่อการกระจายสนามแม่เหล็กและลักษณะแรงบิดในมอเตอร์แกนฟลักซ์ โดยใช้เครื่องมือจำลองเชิงตัวเลขด้วยระเบียบวิธีไฟไนท์อิลิเมนต์สามมิติ (3D-FEM) ที่พัฒนาขึ้นเอง รูปแบบที่วิเคราะห์ประกอบด้วยมอเตอร์แม่เหล็กถาวรแบบฝังในแกนโรเตอร์ (IPMSM) และแบบติดตั้งที่ผิวโรเตอร์ (SPMSM) ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า IPMSM ให้การกระจายศักย์เวกเตอร์แม่เหล็กที่สม่ำเสมอกว่า และมีแรงบิดเฉลี่ยสูงกว่า SPMSM อย่างมีนัยสำคัญ ข้อค้นพบนี้สนับสนุนแนวทางการออกแบบที่เหมาะสมสำหรับมอเตอร์แกนฟลักซ์ในยานยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นการเพิ่มสมรรถนะและการลดขนาดของมอเตอร์</p>Arak Bunmat
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-302025-06-30311928Comparing the Performance of Probabilistic Weighting Classification Techniques for Water Quality Assessment
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC/article/view/3959
<p>This research investigation explores the comparative performance of probability weighting classification techniques in the assessment of water quality. The dataset, sourced from Kaggle, comprises 7,999 records detailing water quality, characterized by 21 dimensions of chemical component quantities and another binary-class quality indicator. Through the integration of ensemble methods and the utilization of pairwise comparison techniques, the study demonstrates enhancements in precision, recall, and F-measure, achieving a minimum increase of 6.68%, albeit with a maximum trade-off of 5.16% in accuracy, when compared to single classifiers. These findings not only contribute to advancing single classification techniques but also lay the groundwork for the development of more resilient and dependable models. The implications of this research extend to practical applications in environmental monitoring practices, influencing policy decisions, and guiding interventions aimed at safeguarding water quality. By establishing a foundation for robust modeling, the study underscores its significance in shaping proactive measures for sustaining and preserving the quality of water resources.</p>Assist.Prof.Dr.Nipada Papukdee
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-302025-06-30312935การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อรอยเชื่อมใบเลื่อยสายพานโคบอลต์ M42 ด้วยกระบวนการเชื่อมเลเซอร์
https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/JEIRKKC/article/view/3906
<p>งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าความเค้นแรงดึงของใบเลื่อยสายพาน Cobalt M42 ด้วยการทดสอบแรงดึง หลังจากเชื่อมด้วยเครื่องเชื่อมเลเซอร์รุ่น UG-1000LW ใช้ลวดเชื่อมแบบไส้ฟลักซ์ โดยใบเลื่อยที่นำมาใช้ในการทดลองผ่านการหาค่าความเค้นแรงดึงด้วยเครื่องทดลองแรงดึง รุ่น Waw-1000 Electro-Hydraulic Servo Tensile ตามมาตรฐาน DIN EN ISO 6892-1 โดยค่าความเค้นแรงดึงเฉลี่ย 72 เมกะปาสคาล ปัจจัยที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ กำลังเลเซอร์ 20%, 30% และ 40% อัตราป้อนลวดเชื่อม 6, 8 และ 10 เมตร/นาที และระยะห่างระหว่างรอยต่อในการเชื่อมต่อใบเลื่อย 0.3, 0.6 และ 0.9 มิลลิเมตร โดยออกแบบการทดลองเป็นแบบแฟกทอเรียลเต็มรูปแบบ โดยทำการทดลองทั้งหมด 81 ครั้ง ที่ค่าความเชื่อมั่น 95% จากการวิเคราะห์โดยใช้ ANOVA พบว่าปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยและ 1 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย มีผลต่อค่าความเค้นแรงดึงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ กำลังเลเซอร์มีค่า P-value เท่ากับ 0.033 อัตราป้อนลวดเชื่อมมีค่า P-value เท่ากับ 0.00 และระยะห่างระหว่างรอยต่อในการเชื่อมต่อใบเลื่อยมีค่า P-value เท่ากับ 0.034 และ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย กำลังเลเซอร์ กับ อัตราป้อนลวดเชื่อม มีค่า P-value เท่ากับ 0.00 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจอยู่ที่ 92.86% และจากการหาสภาวะที่เหมาะสม ของผลการทดลองที่ได้ พบว่าค่าที่เหมาะสมของปัจจัยแต่ละปัจจัยได้แก่ กำลังเลเซอร์ 40% อัตราป้อนลวดเชื่อม 10 เมตรต่อนาที และ ระยะห่างระหว่างรอยต่อในการเชื่อมต่อใบเลื่อย 0.3 มิลลิเมตร ผลที่ได้จากปัจจัยดังกล่าวนั้นสามารถให้ค่าความเค้นแรงดึง 77.33 เมกะปาสคาล ซึ่งสูงกว่าค่าก่อนการเชื่อมเดิม จึงสรุปได้ว่าพารามิเตอร์ที่เหมาะสมสามารถเชื่อมใบเลื่อยสายพานให้มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะนำกลับมาใช้งานได้จริง และสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดการขาดที่จุดเดิมได้ รวมทั้งช่วยลดต้นทุนในการจัดซื้อใบเลื่อยใหม่</p>Tanatporn Cittayanurak
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และการวิจัยเชิงนวัตกรรม
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-302025-06-30313647