https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์ประยุกต์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ 2023-11-24T18:27:02+07:00 ดร. อรสา อ่อนจันทร์ (Orasa Onchan) หัวหน้ากองบรรณาธิการ info@dss.go.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์ประยุกต์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ</strong> (ชื่อเดิม วารสารผลงานวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ) Bulletin of Applied Sciences เป็นวารสารเผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย ของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป และสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ การอ้างอิง และการประกอบกิจการภาคการผลิตและอุตสาหกรรม </p> <p> ISSN 2822-1532 (Print)<br /> ISSN 2822-1540 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเป็นวารสารเผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย ของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป</li> <li>เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ การอ้างอิง และการประกอบกิจการภาคการผลิตและอุตสาหกรรม</li> </ol> https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/621 การตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์หาปริมาณไมทราไจนีนในสารสกัดใบกระท่อมโดยเทคนิคโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง 2023-07-10T08:59:37+07:00 สุบงกช ทรัพย์แตง subongkoch@dss.go.th ธิดารัตน์ เครือเทียน thidarat@dss.go.th ปัทมาพร จิตปรีดา J_pattamaporn@dss.go.th วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ worawitwanich@gmail.com <p>งานวิจัยนี้ได้ศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการวิเคราะห์ปริมาณไมทราไจนีนในใบกระท่อม และทดสอบความใช้ได้ของวิธีการวิเคราะห์ที่ดัดแปลงมาจากวิธีของ AOAC (Mudge and Brown, 2017) และ Limsuwanchote และคณะ (2017) ในการหาปริมาณไมทราไจนีนในตัวอย่างสารสกัดใบกระท่อม ซึ่งพบว่าวิธีวิเคราะห์มีความจำเพาะเจาะจงและมีช่วงความเป็นเส้นตรงของวิธีวิเคราะห์ที่ดี โดยอยู่ในช่วง 5 - 50 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ 0.9996 ความถูกต้องของวิธีซึ่งแสดงด้วยร้อยละการคืนกลับ พบว่าอยู่ในช่วงร้อยละ 101.19 -103.26 ค่าความเที่ยงแสดงด้วยร้อยละของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมพัทธ์ ที่วิเคราะห์ภายในวันและต่างวัน มีค่าน้อยกว่า 3% ค่าขีดจำกัดในการตรวจพบและขีดจำกัดในการวัดเชิงปริมาณของไมทราไจนีน เท่ากับ 0.108 มิลลิกรัมต่อกรัมและ 0.125 มิลลิกรัมต่อกรัม ตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การยอมรับของวิธีทดสอบตามมาตรฐาน Standard Method Performance Requirements (SMPR) for Alkaloids of <em>Mitragyna speciosa</em> จากนั้นได้ทำการเก็บตัวอย่างใบกระท่อมจากแหล่งต่าง ๆ จำนวน 15 ตัวอย่าง มาวิเคราะห์ตามวิธีที่ผ่านการทดสอบความใช้ได้แล้ว พบว่า ตัวอย่างใบกระท่อมมีปริมาณไมทราไจนีน อยู่ในช่วง 2.30 - 25.54 mg/g ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าวิธีการวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือ และเหมาะสมสำหรับการตรวจหาปริมาณสารไมทราไจนีนในตัวอย่างสารสกัดใบกระท่อม</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/647 จลพลศาสตร์การเกิดสีน้ำตาลของไข่ขาวระหว่างกระบวนการแปรรูปด้วยความร้อนที่อุณหภูมิสูง 2023-08-26T12:38:21+07:00 ชัยรัตน์ ตั้งดวงดี chairath65@gmail.com สุวลักษณ์ อัศวสันติ chairath65@gmail.com กันต์ฤทัย ต่ายจันทร์ chairath65@gmail.com <p>ผลิตภัณฑ์ไข่ขาวเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง เพื่อให้สามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง จำเป็นต้องแปรรูปที่อุณหภูมิสูง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์เกิดสีน้ำตาล วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้ เพื่อพัฒนาแบบจำลองจลพลศาสตร์การเกิดสีน้ำตาลของไข่ขาวที่อุณหภูมิสูงและผลของการเติมเอนไซม์กลูโคสออกซิเดสเพื่อออกซิไซด์น้ำตาลในไข่ขาว ตัวอย่างถูกบรรจุในตลับอลูมิเนียม ให้ความร้อนที่ 70 องศาเซลเซียส เพื่อให้เซตตัวก่อนให้ความร้อนที่ 100, 110 และ 130 องศาเซลเซียสในอ่างน้ำมัน นาน 5<strong>–</strong>30 นาที สุ่มตัวอย่างวัดค่าสีด้วยเครื่องสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ และคำนวณดัชนีความเหลือง <strong>(</strong>Yellowness index<strong>:</strong> <em>YI</em><strong>) </strong>ผลการทดลองพบว่า ค่าความสว่าง <strong>(</strong><em>L</em><strong>*)</strong> มีค่าลดลง ส่วนค่าสีแดง<strong> (</strong><em>a</em><strong>*) </strong>และค่าสีเหลือง <strong>(</strong><strong><em>b</em></strong><strong>*)</strong> เพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิและเวลาที่ได้รับความร้อน การเปลี่ยนแปลงของค่า <strong><em>YI</em></strong> อธิบายได้ด้วยปฏิกิริยาอันดับที่หนึ่งและสอดคล้องกับผลการทดลอง <strong>(</strong><em>R</em><sup>2</sup><strong>=</strong>0<strong>.</strong>92<strong>–</strong>0<strong>.</strong>95, <em>RMSE</em><strong>=</strong>0<strong>.</strong>11<strong>–</strong>0<strong>.</strong>29<strong>)</strong> นอกจากนี้ ยังพบว่า การเติมเอนไซม์ 30 units<strong>/</strong>mL ทำให้ค่าอัตราส่วน <em>YI</em> ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ <strong>(</strong>p&lt;0<strong>.</strong>05<strong>) </strong>จาก 5<strong>.</strong>9 เป็น 2<strong>.</strong>6 ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ไข่ขาวที่มีสีอ่อนลง</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/570 การพัฒนาวัสดุป้องกันรังสีโดยใช้ยางธรรมชาติผสมโบรอนออกไซด์และโลหะออกไซด์ 2023-09-12T08:24:31+07:00 นิชาภา บัวสุวรรณ nichapa054@gmail.com อรวรรณ ปิ่นประยูร porawan@dss.go.th ศิริพร ช้างน้อย Siriporn@dss.go.th ธิติ เรืองสีสำราญ thitir@tint.or.th <p>แผ่นยางป้องกันรังสีสำหรับผลิตชุดป้องกันรังสีนิวตรอน รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา ถูกพัฒนาขึ้นจากยางธรรมชาติผสมโบรอนออกไซด์สำหรับป้องกันรังสีนิวตรอน ตะกั่วออกไซด์และทังสเตนออกไซด์สำหรับป้องกันรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา ผลการศึกษาสมบัติการป้องกันรังสีนิวตรอนจากต้นกำเนิดนิวตรอน <sup>241</sup>Am-Be (Americium-Beryllium) พบว่า แผ่นยางป้องกันรังสีสูตรที่เติมสารโบรอนออกไซด์ 40 phr ให้ค่าการลดทอนรังสีนิวตรอน ร้อยละ 18 ซึ่งดีกว่าวัสดุกำบังรังสีที่มีในท้องตลาดซึ่งทำมาจากพอลิเอทิลีน ที่ให้ค่าการลดทอนรังสีนิวตรอน ร้อยละ 11 ที่ความหนาเท่ากัน คือ 2 mm แต่แผ่นยางที่เติมโบรอนออกไซด์เมื่อขึ้นรูปแล้วตัวแผ่นยางเกิดเกล็ดสีขาวเล็กๆ ทั่วทั้งแผ่น และสมบัติทางกายภาพความต้านแรงดึงต่ำมาก แผ่นยางสูตรนี้จึงยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาผลิตเป็นชุดป้องกันรังสี งานวิจัยยังได้ศึกษาสมบัติการลดทอนรังสีเอกซ์โดยใช้เครื่องกำเนิดรังสีเอกซ์ และรังสีแกมมาจากต้นกำเนิดรังสีแกมมา <sup>137</sup>Cs พบว่า ความสามารถในการลดทอนรังสีของแผ่นยางป้องกันรังสีเพิ่มสูงขึ้นเมื่อปริมาณตะกั่วออกไซด์และทังสเตนออกไซด์ในแผ่นยางสูงขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบค่าการลดทอนรังสีเอกซ์และรังสีแกมมา กับชุดป้องกันรังสีที่มีขายตามท้องตลาดที่ทำจากยางสังเคราะห์ พบว่า สูตรที่เติมตะกั่วออกไซด์ 500 phr มีค่าการลดทอนรังสีเอกซ์ ร้อยละ 87 ค่าการลดทอนรังสีแกมมา ร้อยละ 8.8 และสูตรที่เติมทังสเตนออกไซด์ 900 phr มีค่าการลดทอนรังสีเอกซ์ ร้อยละ 85 ค่าการลดทอนรังสีแกมมา ร้อยละ 8.3 ซึ่งดีกว่าชุดป้องกันรังสีที่มีขายตามท้องตลาด ที่มีค่าการลดทอนรังสีเอกซ์ ร้อยละ 84 ค่าการลดทอนรังสีแกมมา ร้อยละ 6.2 ที่ความหนาเท่ากัน คือ 2 mm จากผลการศึกษาสมบัติทางกายภาพพื้นฐานของแผ่นยางป้องกันรังสี ได้แก่ ความแข็ง ความต้านแรงดึง ความยืดเมื่อขาด และความต้านแรงฉีกขาด พบว่า แผ่นยางป้องกันรังสีสูตรที่เติมตะกั่วออกไซด์ 500 phr ที่มีปริมาณสารป้องกันรังสีสูงขึ้นจะมีค่าสมบัติทางกายภาพมีแนวโน้มลดลงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่แผ่นยางป้องกันรังสี สูตรที่เติมทังสเตนออกไซด์ 900 phr มีสมบัติความต้านแรงดึงต่ำมากจึงต้องพิจารณาการใช้งานอย่างเหมาะสมต่อไป</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/645 การศึกษาเชิงปริมาณของสารประกอบ AOX ที่ตกค้างในผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติ ในประเทศไทย 2023-09-12T08:24:58+07:00 ชนกานต์ ชูชีพชื่นกมล chanakarn@dss.go.th อรวรรณ พรมสอน porawan@dss.go.th ก่อพงศ์ หงษ์ศรี korpong@dss.go.th <p>AOX เป็นสารประกอบที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างลิกนินในเส้นใยธรรมชาติกับคลอรีนหรือสารประกอบคลอรีนในกระบวนการฟอก สารประกอบนี้มีความเสถียรสูง สลายตัวยาก มีความเป็นพิษ สามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตได้ ทำให้เกิดความเสียหายในระดับพันธุกรรมทั้งในมนุษย์และสัตว์ ส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืชและระบบต่อมไร้ท่อของสัตว์ การตรวจหาและลดปริมาณ AOX จึงเป็นประเด็นสำคัญ อุตสาหกรรมผ้าเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สามารถเกิดสารประกอบ AOX ได้จากขั้นตอนการฟอกผ้า ในหลายประเทศได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานขั้นต่ำของปริมาณสารประกอบ AOX ในผลิตภัณฑ์ผ้าและน้ำเสียจากโรงงานผลิตผ้า แต่ในประเทศไทยไม่ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานไว้ งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาและเปรียบเทียบปริมาณสารประกอบ AOX ที่ตกค้างในตัวอย่างผ้าที่มีส่วนผสมของเส้นใยธรรมชาติที่เป็นที่นิยมใช้และมีขายทั่วไปในท้องตลาดภายในประเทศ จำนวน 6 ชนิด ประกอบด้วย ผ้าฝ้ายไม่ฟอก ผ้าฝ้ายฟอกขาว ผ้ายีนส์ฟอก ผ้าลินิน ผ้าป่านมัสลิน ผ้าฝ้ายผสมเส้นใยสังเคราะห์พอลิเอสเทอร์ โดยใช้วิธีการสกัดสารด้วยซอกห์เลต (Soxhlet extraction) โดยใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย และหาปริมาณสารประกอบ AOX ตามวิธีทดสอบมาตรฐาน ISO 9562 จากการศึกษาพบว่าผ้าทั้ง 6 ชนิด มีสารประกอบ AOX โดยผ้าฝ้ายฟอกขาวมีปริมาณสารประกอบ AOX ตกค้างมากที่สุดเท่ากับ 56.34 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของผ้าแห้ง และผ้าฝ้ายผสมใยสังเคราะห์มีปริมาณสารประกอบ AOX น้อยที่สุดเท่ากับ 7.73 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมของผ้าแห้ง เมื่อเทียบปริมาณสารประกอบ AOX ที่ตกค้างในผ้ากับเกณฑ์ที่ Global Organic Textile Standard (GOTS) กำหนด พบว่า ปริมาณสารประกอบ AOX ที่ตกค้างในผ้าทั้ง 6 ชนิดมีค่าสูงกว่าเกณฑ์ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 5.00 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมผ้าแห้ง</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/608 การตรวจสอบคุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2023-09-27T11:11:11+07:00 ธนัชชา ผาติพงศ์ tanutcha@dss.go.th นริศรา ทัศวงศ์ naritsara@dss.go.th จารุณี เมฆสุวรรณ์ mcharunee@dss.go.th ธีระ ปานทิพย์อำพร theera@dss.go.th นพมาศ สะพู nopamart@dss.go.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพทางจุลชีววิทยาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป โดยมุ่งตรวจสอบการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค 3 ชนิด คือ <em>Salmonella</em> spp. <em>Staphylococcus aureus</em> และ <em>Clostridium</em> spp. และจุลินทรีย์ที่เป็นดัชนีบ่งบอกถึงสุขอนามัยของกระบวนการผลิต คือ <em>Escherichia coli</em> จากการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งหมด 33 ตัวอย่าง ไม่มีการปนเปื้อนของ <em>Salmonella</em> spp. <em>S. aureus</em> และ <em>E. coli</em> อย่างไรก็ตาม พบการปนเปื้อนของ <em>Clostridium</em> spp. ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจำนวน 5 ตัวอย่าง การปนเปื้อนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานทางจุลชีววิทยาที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/701 การทดสอบสมรรถนะอุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจจ่ายอากาศบริสุทธิ์แบบหมวกคลุมศีรษะที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศสำหรับใช้ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโคโรน่าไวรัส 2019 ในประเทศไทย 2023-09-28T13:33:40+07:00 สุริษา สุริโยพร surisa@dss.go.th เอกรัฐ มีชูวาศ ekarat@dss.go.th กรธรรม สถิรกุล kortham@dss.go.th กนิษฐ์ ตะปะสา kanit@dss.go.th พงศธร ชมดี surisa@dss.go.th <p>วิกฤตการณ์แพร่ระบาดโคโรน่าไวรัส 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย เมื่อต้นปี 2563 ทำให้เห็นว่าชุดป้องกันส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment, PPE) มีความสำคัญมากกับบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจจ่ายอากาศบริสุทธิ์ หรือ PAPR ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่บุคลากรทางการแพทย์ใช้ป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์ PAPR ได้เพียงพอต่อความต้องการ ได้มีหลายหน่วยงานพัฒนา PAPR เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์มีความเชื่อมั่นสูงสุดในความปลอดภัยของอุปกรณ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ จึงจัดทำข้อกำหนดคุณลักษณะ/มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบ โดยได้นำผลการประเมินความเสี่ยงจากบุคลากรทางการแพทย์มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการทดสอบอุปกรณ์ป้องกันทางเดินหายใจจ่ายอากาศบริสุทธิ์ 3 รายการสำคัญ ได้แก่ 1. การรั่วซึมเข้าสู่ภายใน (total inward leakage) 2. แหล่งจ่ายอากาศ (air supply) และ 3. ความต้านทานการหายใจ (breathing resistance)</p> <p>วัตถุประสงค์ของโครงนี้เป็นการทดสอบสมรรถนะทั้ง 3 ด้านข้างต้นของอุปกรณ์ PAPR ที่ผลิตในประเทศไทยในช่วงที่ประเทศไทยขาดแคลนอุปกรณ์ PPE ในช่วงการแพร่ระบาดโคโรน่าไวรัส 2019 ว่าเป็นตามที่เกณฑ์กำหนดหรือไม่ และเปรียบเทียบกับ PAPR ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ผลการทดสอบพบว่าอุปกรณ์ PAPR ที่ผลิตในประเทศ มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับตัวอย่างอ้างอิงที่นำเข้าจากต่างประเทศ และมีความสามารถในการนำไปใช้ในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจได้เป็นอย่างดี</p> 2023-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 กรมวิทยาศาสตร์บริการ