https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์ประยุกต์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ 2024-06-07T00:16:33+07:00 ดร. อรสา อ่อนจันทร์ (Orasa Onchan) บรรณาธิการวิชาการ info@dss.go.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิทยาศาสตร์ประยุกต์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ</strong> (ชื่อเดิม วารสารผลงานวิชาการ กรมวิทยาศาสตร์บริการ) Bulletin of Applied Sciences เป็นวารสารเผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย ของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป และสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ การอ้างอิง และการประกอบกิจการภาคการผลิตและอุตสาหกรรม </p> <p> ISSN 2822-1532 (Print)<br /> ISSN 2822-1540 (Online)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong></p> <ol> <li>เพื่อเป็นวารสารเผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย ของนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป</li> <li>เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการ การอ้างอิง และการประกอบกิจการภาคการผลิตและอุตสาหกรรม</li> </ol> https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/682 ผลกระทบของการหมุนและการเยื้องศูนย์กลางแนวแรงของ โหลดเซลล์มาตรฐานต่อการสอบเทียบเครื่องทดสอบแรงดึง/แรงกด 2023-08-08T15:20:40+07:00 ไกรศักดิ์ ยืนยั่ง kraisak@dss.go.th พิสิฐ หอมเชย pisit@dss.go.th วิชัย กาญจนพัฒน์ wichai@dss.go.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนําเสนอผลกระทบของการหมุนโหลดเซลล์และการเยื้องศูนย์กลางแนวแรงในระหว่าง การสอบเทียบเครื่องทดสอบแรงดึง แรงกด ตามมาตรฐาน ISO 7500-1:2018 (E) ในงานวิจัยได้ทําการสอบเทียบ เครื่องทดสอบขนาด 1000 kN ค่าความละเอียด 0.5 kN คลาส 0.5 ด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกัน 3 กรณี ได้แก่ กรณี A ไม่หมุนโหลดเซลล์มาตรฐานและไม่เยื้องศูนย์กลางแนวแรง กรณี B หมุนโหลดเซลล์มาตรฐานเป็นมุม 0 องศา, 120 องศา และ 240 องศา ตามลําดับ และไม่เยื้องศูนย์กลางแนวแรง กรณี C ไม่หมุนโหลดเซลล์มาตรฐาน แต่เลื่อนตําแหน่งของ โหลดเซลล์มาตรฐานให้เยื้องศูนย์กลางแนวแรงเป็นระยะ 10 มม. เมื่อทวนสอบผลการสอบเทียบของทั้งสามกรณีได้คลาส 0.5 เท่ากัน ค่าพารามิเตอร์ต่าง ๆ ของผลการสอบเทียบกรณี A และ B ได้ผลไม่แตกต่างกัน ส่วนกรณี A และ C พบค่า ความผิดพลาดในการลดแรงกระทําของเครื่องทดสอบจากค่าแรงสูงสุดกลับมายังตําแหน่งเดิม (Relative error of reversibility) เพิ่มขึ้นถึง -0.45% และค่าความไม่แน่นอนของการสอบเทียบที่ระดับความเชื่อมั่น 95% มีค่าเพิ่มขึ้นถึง ±0.53% โดยพารามิเตอร์ทั้งสองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามขนาดของแรงกระทํา เมื่อนํามาเปรียบเทียบด้วยสถิติ (E<sub>n</sub> number) พบว่ามีค่าอยู่ในช่วง 0.05 - 0.89 ซึ่งความแตกต่างนั้นไม่มีนัยสําคัญ และถ้าหากเพิ่มแรงกระทํามากขึ้น E<sub>n</sub> number มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เมื่อเครื่องทดสอบแรงดึงแรงกด และโหลดเซลล์มีคลาสที่ดี การหมุน โหลดเซลล์ไม่ส่งผลต่อการสอบเทียบ แต่การเยื้องศูนย์กลางแนวแรงจะส่งผลต่อการสอบเทียบ</p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/624 ระบบสอบเทียบดิจิทัลเทอร์โม-ไฮโกรมิเตอร์แบบอัตโนมัติโดยใช้วิธีการประมวลผลภาพและเครือข่ายไร้สาย 2023-08-10T15:26:13+07:00 เจตนา ทองใบ jettana@dss.go.th <p style="margin-top: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">งานวิจัยนี้นําเสนอระบบอัตโนมัติสําหรับสอบเทียบดิจิทัลเทอร์โม-ไฮโกรมิเตอร์ (</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">Digital thermo-hygrometer) <span lang="TH">แบบที่ไม่มีตัวต่อประสานการสื่อสารโดยใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาพดิจิทัล (</span>Digital image processing) <span lang="TH">และวิธีการสื่อสารไร้สายแบบเรียลไทม์เพื่อลดระยะเวลาการสอบเทียบและลดข้อผิดพลาดของผู้ปฏิบัติงาน </span>(Human error)<span lang="TH"> งานวิจัยนี้นําเสนอวิธีแก้ปัญหาโดยใช้ </span>ESP32-CAM <span lang="TH">ซึ่งเป็นโมดูลกล้องขนาดเล็กและราคาถูก จับภาพมิเตอร์และส่งไปยัง เว็บเซิร์ฟเวอร์ที่ประมวลผลภาพด้วยวิธี </span>Seven Segment Optical Character Recognition (SSOCR) <span lang="TH">ผลการวัดและ สอบเทียบจะนําเสนอบนแดชบอร์ดที่เข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์ผลการทดลองตรวจสอบประสิทธิภาพของทั้งอัลกอริทึมและแอปพลิเคชันของผู้ใช้โดยให้ประสิทธิภาพโดยรวมเทียบเท่ากับกระบวนการสอบเทียบด้วยตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการทดลองในระบบที่สร้างขึ้นแสดงให้เห็นว่าวิธีการจดจําภาพที่นําเสนอมีความแม่นยําเฉลี่ย </span>96.48%</span></p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/1129 การตรวจหาปริมาณสารไพมารีอะโรมาติกเอมีนใน วัสดุสัมผัสอาหารด้วยเทคนิคอัลตราไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ลิควิด โครมาโทกราฟี-แทนเดมแมสสเปกโทรเมตรี 2024-02-20T15:10:47+07:00 จุฑาทิพย์ ลาภวิบูลย์สุข jutalas@gmail.com พัฒน์นิภา วงศ์พิชัย jutathip@dss.go.th สมภพ ลาภวิบูลย์สุข jutathip@dss.go.th <p style="margin-top: 0in; text-align: justify; text-indent: .5in;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การตรวจวัดสาร </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">Primary aromatic amines (PAAs) <span lang="TH">ในวัสดุสัมผัสอาหาร จํานวน </span>10 <span lang="TH">ชนิด ได้แก่ </span>Aniline (ANL), o-Anisidine (o-ASD), 4-chloro-aniline (4-CA), 4-chloro-o-toluidine (4-COT), 2,6-dimethylaniline (2,6-DMA), 4,4<sup>’</sup>-methylenedianiline (4,4’-MDA), 4,4-methylenedi-o-toluidine (4,4’-MDOT), 2-methoxy-5-methylaniline (2-M-5- MA), m-phenylenediamine (m-PDA) <span lang="TH">และ </span>o-toluidine (o-T) <span lang="TH">ได้ดําเนินการโดยสกัดสาร </span>PAAs <span lang="TH">ด้วยสารละลายตัวแทน อาหารเป็นกรดอะซิติก ความเข้มข้นร้อยละ </span>3 (<span lang="TH">น้ำหนักต่อปริมาตร) ที่อุณหภูมิ </span>100 <span lang="TH">องศาเซลเซียส แล้วทําการตรวจวัด โดยใช้เทคนิคอัลตราไฮเพอร์ฟอร์แมนซ์ลิควิด โครมาโทกราฟี-แทนเดมแมสสเปกโทรเมตรี การตรวจสอบความใช้ได้ของ วิธีตาม </span>Eurachem Guide: The fitness for purpose of analytical methods, 2014 <span lang="TH">แสดงค่าการตรวจวัดต่ําสุด (</span>Limit of detection; LOD) <span lang="TH">และค่าการวัดเชิงปริมาณ (</span>Limit of quantitation; LOQ) <span lang="TH">เท่ากับ </span>2 <span lang="TH">และ </span>10 <span lang="TH">ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ตามลําดับ การพิสูจน์ความเป็นเส้นตรงอยู่ในช่วง </span>2.00 - 20.0 <span lang="TH">นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร พบว่า สาร </span>PAAs <span lang="TH">ทุกชนิด มีค่าสัมประสิทธิ์การกําหนดมากกว่า </span>0.995 <span lang="TH">นอกจากนี้ได้ตรวจสอบความถูกต้องและความเที่ยงที่ </span>3 <span lang="TH">ระดับความเข้มข้น คือ </span>10, 25 <span lang="TH">และ </span>50 <span lang="TH">ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม โดยมีความถูกต้องและความเที่ยงเป็นไปตามเกณฑ์การยอมรับตาม </span>2002/657/EC <span lang="TH">ดังนั้นวิธีทดสอบนี้มีความเหมาะสมในการนําไปใช้ทดสอบสาร </span>PAAs <span lang="TH">ดังกล่าวได้</span></span></p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/1242 การทดสอบสมรรถนะหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียวประเภทใช้ทางการแพทย์: คุณลักษณะทางฟิสิกส์ 2024-01-12T10:54:49+07:00 ศรสวรรค์ สิทธิพงศ์ sornsawan2032@gmail.com ศิวะ สิทธิพงศ์ siva@tistr.or.th ณัฐพงศ์ นิลจรัสวณิช nuttapong@tistr.or.th ณัฐพล พรนําพา nattapon@tistr.or.th ไพโรจน์ สังขไพฑูรย์ p.sungkhaphaitoon@gmail.com ชัยยุทธ มีงาม chaiyoot.me@skru.ac.th <p style="margin-top: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">รายงานจากห้องปฏิบัติการนี้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงวิธีการตรวจทดสอบหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว และรายงานผล ความสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องในส่วนของ ลักษณะทั่วไป สมบัติการใช้งาน และคุณลักษณะทางฟิสิกส์ ตามข้อกําหนด มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว มอก.</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">2424-2565 <span lang="TH">ซึ่งการทดสอบคุณลักษณะทางฟิสิกส์ อ้างอิงวิธีการทดสอบตาม </span>ASTM F2100-21 <span lang="TH">ผลการทดสอบพบว่า หน้ากากตัวอย่างที่นํามาทดสอบมีค่าความแตกต่าง ความดัน </span>4 mmH<sub>2</sub>O/cm² <span lang="TH">และมีค่าความต้านการซึมผ่านของของเหลว (เลือดสังเคราะห์) ที่ความดันต่ำสุด </span>80 mmHg <span lang="TH">ส่วนการลามไฟถูกจัดให้อยู่ใน </span>Class 1 <span lang="TH">ประสิทธิภาพการกรองอนุภาคและประสิทธิภาพการกรองแบคทีเรีย คือ </span>95.7% <span lang="TH">และ </span>97.6% <span lang="TH">ตามลําดับ ซึ่งคุณลักษณะทางฟิสิกส์นี้สอดคล้องตามเกณฑ์การทดสอบหน้ากากอนามัยใช้ครั้งเดียว ประเภท ใช้ทางการแพทย์ระดับที่ </span>1 <span lang="TH">สามารถนําไปทดสอบคุณลักษณะทางชีวภาพเพื่อยืนยันความสอดคล้องตามข้อกําหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส่วนข้อมูลการศึกษาสมบัติวัสดุและโครงสร้างของหน้ากากอนามัย ได้รายงานผลไว้ให้ผู้ผลิต สามารถนําไปวิเคราะห์ปรับปรุงพัฒนา ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ต่อไป</span></span></p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/1243 ผลของการเตรียมวัตถุดิบ ปริมาณวัตถุดิบ ความเข้มข้นของเอนไซม์ และระยะเวลาการสกัดต่อผลผลิตเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้จาก เศษเหลือทิ้งหน่อไม้ฝรั่ง 2024-02-13T09:46:11+07:00 ยุทธศักดิ์ สุบการี subkaree@hotmail.com เรวดี มีสัตย์ Rewadee@tistr.or.th <p style="margin-top: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเตรียมวัตถุดิบ (อุณหภูมิและการบดเปียก) ปริมาณวัตถุดิบ ความเข้มข้น เอนไซม์ (เซลลูเลสและเฮมิเซลลูเลส) และ ระยะเวลาการสกัดต่อผลผลิตเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้จากเศษเหลือทิ้ง หน่อไม้ฝรั่ง จากการศึกษาพบว่าการเตรียมวัตถุดิบ (อุณหภูมิและการบดเปียก) ปริมาณวัตถุดิบ ปริมาณเอนไซม์ (เซลลูเลสและเฮมิเซลลูเลส) และระยะเวลาการสกัดมีผลต่อผลผลิตเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้จากเศษเหลือทิ้งหน่อไม้ฝรั่งอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">p &lt; 0.05) <span lang="TH">สภาวะการสกัดที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ คือ การเตรียมวัตถุดิบปริมาณ </span>1:20 (<span lang="TH">เศษเหลือทิ้งหน่อไม้ฝรั่งต่อน้ำ) ที่อุณหภูมิ </span>121 <span lang="TH">องศาเซลเซียส ความดัน </span>15 <span lang="TH">ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา </span>15 <span lang="TH">นาที แล้วบดเปียกให้เป็นเนื้อเดียวกัน นําไปย่อยด้วยเอนไซม์เซลลูเลสปริมาณร้อยละ </span>2.5 <span lang="TH">โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก และ เฮมิเซลลูเลสร้อยละ </span>2.5 <span lang="TH">โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก ที่พีเอช </span>4.6 <span lang="TH">อุณหภูมิ </span>50 <span lang="TH">องศาเซลเซียส เป็นเวลา </span>4 <span lang="TH">ชั่วโมง สภาวะนี้ให้ ผลผลิตเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ร้อยละ </span>11.26 + 0.63 <span lang="TH">โดยน้ำหนัก โดยเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำที่ได้จากการศึกษาใน ครั้งนี้มีปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมดร้อยละ </span>69.06 + 0.40 <span lang="TH">โดยน้ำหนัก แบ่งเป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ร้อยละ </span>67.97 ± 0.92 <span lang="TH">โดยน้ำหนัก และเส้นใยอาหารไม่ละลายน้ำร้อยละ </span>1.09 + 0.53 <span lang="TH">โดยน้ำหนัก เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำที่ได้มี จะลายน้ำที่ได้มีความสามารถ ในการอุ้มน้ำ </span>1.40 ± 0.07 <span lang="TH">กรัมน้ำต่อกรัม ความสามารถในการอุ้มน้ำมัน </span>1.64 ± 0.42 <span lang="TH">กรัมน้ำมันต่อกรัม และความสามารถ ในการละลายน้ำร้อยละ </span>75.45 + 0.25 <span lang="TH">โดยน้ำหนัก นอกจากนั้น เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้มีความสามารถในการกําจัด อนุมูลอิสระ (</span>IC<sub>50</sub> <span lang="TH">เท่ากับ </span>2.31 <span lang="TH">มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร) ผลนี้แสดง ผลนี้แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อศักยภาพในการสกัดเส้นใย อาหารที่ละลายน้ำได้จากเศษเหลือทิ้งหน่อไม้ฝรั่ง</span></span></p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/BAS/article/view/1255 การตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีสําหรับวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนัก หลายชนิดในเวลาเดียวกัน (ปรอท แคดเมียม สารหนู และตะกั่ว) ที่ระดับความเข้มข้น ามากในใบกระท่อม 2024-02-19T08:53:43+07:00 ธาริณี ศรีดารา tharinee@dss.go.th สายจิต ดาวสุโข saijit@dss.go.th สุบงกช ทรัพย์แตง subongkoch@dss.go.th วีระ สวนไธสง weera@dss.go.th <p style="margin-top: 0in; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: .5in;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การศึกษานี้เป็นการตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีการวิเคราะห์ปริมาณโลหะหนักหลายชนิดในเวลาเดียวกัน ประกอบด้วย ปรอท แคดเมียม สารหนู และตะกั่ว ในใบกระท่อมที่ระดับความเข้มข้นต่ำมาก (หนึ่งส่วนต่อพันล้าน</span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">, ppb) <span lang="TH">ด้วยเทคนิค อินดักทีฟลีคัพเพิลพลาสมา ออพติคอลอิมิสชั่นสเปกโทรสโกปี (</span>ICP-OES) <span lang="TH">และกระบวนการย่อยและการเตรียมสารละลาย ตัวอย่างก่อนทําการวิเคราะห์ได้ดัดแปรวิธีของ </span>AOAC (999.10) <span lang="TH">โดยใช้ผงใบกระท่อมแห้งผสมกับกรดไนตริกและไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ร่วมกับการย่อยด้วยวิธีไมโครเวฟ ผลการศึกษาพบว่าช่วงการใช้งานของวิธีทดสอบปรอท แคดเมียม สารหนู และตะกั่วเท่ากับ </span>0.25 - 1.25, 0.05 - 1.25, 0.50 - 12.50 <span lang="TH">และ </span>0.50 - 12.50 <span lang="TH">มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ตามลําดับ ค่าขีดจํากัด การตรวจหาของวิธี (</span>LOD) <span lang="TH">เท่ากับ </span>0.050 (<span lang="TH">ปรอท)</span>, 0.010 (<span lang="TH">แคดเมียม)</span>, 0.15 (<span lang="TH">สารหนู) และ </span>0.15 (<span lang="TH">ตะกั่ว) มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัม ขีดจํากัดการวัดปริมาณ (</span>LOQ) <span lang="TH">เท่ากับ </span>0.25 (<span lang="TH">ปรอท)</span>, 0.050 (<span lang="TH">แคดเมียม)</span>, 0.50 (<span lang="TH">สารหนู) และ </span>0.50 (<span lang="TH">ตะกั่ว) มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม การศึกษาความโอนเอียงมีช่วงร้อยละการคืนกลับ (%</span>Recovery) <span lang="TH">เท่ากับ </span>67 - 74% (<span lang="TH">ปรอท)</span>, 80 - 82% (<span lang="TH">แคดเมียม)</span>, 83 - 91% (<span lang="TH">สารหนู) และ </span>80 - 82% (<span lang="TH">ตะกั่ว) การศึกษาความเที่ยงมีช่วงร้อยละค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานสัมพัทธ์ (%</span>RSD) <span lang="TH">ของแคดเมียม สารหนู และตะกั่วอยู่ในช่วง </span>0.6 - 7.3% <span lang="TH">และปรอทอยู่ในช่วง </span>8.2 - 11.7% <span lang="TH">อีกทั้งค่าความไม่แน่นอนขยายของแคดเมียม สารหนู และตะกั่ว มีค่าน้อยกว่า </span>25% <span lang="TH">และปรอทน้อยกว่า +</span>38% <span lang="TH">ที่ระดับ ความเชื่อมั่น </span>95% <span lang="TH">ซึ่งผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าวิธีวิเคราะห์มีความน่าเชื่อถือ และเหมาะสมสําหรับใช้ในการวิเคราะห์ เชิงปริมาณโลหะหนักในใบกระท่อม</span></span></p> 2024-06-07T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 กรมวิทยาศาสตร์บริการ