วารสารวิชาการนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรม https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI <p><strong>ISSN:</strong> 2822-1125 (Print)</p> <p><strong>ISSN:</strong> 3027-8090 (Online)</p> <p>วารสารวิชาการนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เป็นวารสารวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นสื่อกลางเผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัยของบุคลากร วิทยานิพนธ์ ดุษฎีนิพนธ์ ของนักศึกษา คณาจารย์ บุคลากร นักวิชาการ ตลอดจนผู้สนใจทั้งภายในและภายนอก โดยมุ่งเน้นเผยแพร่บทความวิชาการทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และผลงานวิจัยซึ่งได้มาจากการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบและมีระเบียบ สามารถถ่ายทอดความรู้ด้วยการจัดทำลักษณะบทความวิชาการหรือบทความวิจัยที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเหมาะสำหรับตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งของสถาบันอุดมศึกษาหรือหน่วยงานทางการศึกษาอย่างมีนัยสำคัญ </p> <p>ทั้งนี้ บทความจะผ่านขั้นตอนการประเมินเบื้องต้นถึงคุณภาพและขอบเขตของเนื้อหา ความถูกต้องของรูปแบบการเตรียมบทความ ความซ้ำซ้อน และการคัดลอกวรรณกรรม (Duplication and Plagiarism) โดยกองบรรณาธิการวารสารฯ จากนั้นบทความจะได้รับการประเมินคุณภาพทางวิชาการจากผู้ทรงคุณวุฒิทางสาขาที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 3 ท่านซึ่งผู้นิพนธ์ (Author) และผู้ประเมิน (Reviewer) จะไม่ทราบข้อมูลของกันและกัน (Double-Blinded Peer Reviews) โดยบทความที่ผ่านการปรับปรุงตามผลการประเมินจะได้รับพิจารณาอนุมัติให้ตีพิมพ์บทความ ขั้นตอนสุดท้าย กองบรรณาธิการจะดำเนินการตรวจสอบบทความและพิสูจน์อักษรก่อนที่จะเผยแพร่บทความแบบออนไลน์ และจัดพิมพ์บทความทั้งหมดรวมเล่มเพื่อดำเนินการเผยแพร่ต่อไป อนึ่งผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการที่ปรากฏเผยแพร่ในวารสารฯ เป็นความคิดเห็นอิสระของผู้แต่ง โดยผู้แต่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากบทความเผยแพร่นั้น ซึ่งกองบรรณาธิการและคณะผู้จัดทำวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป</p> <p><strong>ประเภทของผลงานที่รับตีพิมพ์ในวารสาร</strong></p> <p> <strong>1. บทความวิจัย (</strong><strong>Research articles or Original article)</strong> เป็นบทความที่ผู้เขียนเรียบเรียงขึ้นจากงานวิจัยของตนซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาวิจัยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ได้แก่ บทความวิจัยทางสังคมศาสตร์ รวมทั้งสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและจะเป็นประโยชน์กับวิชาชีพต่าง ๆ</p> <p><strong> 2. บทความวิชาการ (</strong><strong>Academic article)</strong> เป็นบทความที่ผู้เขียนมุ่งนำเสนอเนื้อหาสาระเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงเรื่องเดียว ได้จากการศึกษาค้นคว้าเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ และนำมากลั่นกรอง เรียบเรียงขึ้นโดยผู้เขียน</p> <p><strong> 3. บทความวิจารณ์/บทความปริทัศน์ (Review article)</strong> เป็นบทความที่ผู้เขียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ เรื่อง/ประเด็นใดประเด็นหนึ่งเพื่อนำเสนอแนวคิดใหม่ หรือองค์ความรู้ใหม่ </p> <p><strong>เงื่อนไขในการส่งบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร </strong></p> <p> 1. เป็นเรื่องที่ไม่เคยลงตีพิมพ์หรือกาลังรอตีพิมพ์ในวารสารอื่น ๆ</p> <p> 2. ต้นฉบับ ทุกเรื่องจะต้องผ่านการประเมินหรือได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตรวจสอบเนื้อหา (Peer review) ถ้าได้รับคำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งเรื่องที่จะลงตีพิมพ์ที่ได้รับคำแนะนำให้ปรับปรุงแก้ไข หรือเพิ่มเติมไปยังเจ้าของต้นฉบับ (ผู้เขียน) ซึ่งเจ้าของต้นฉบับจะต้องส่งต้นฉบับที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วกลับคืนให้กับกองบรรณาธิการภายใน 2 สัปดาห์ กองบรรณาธิการจะตอบรับการตีพิมพ์ ก็ต่อเมื่อต้นฉบับได้รับการแก้ไขจนครบถ้วนสมบูรณ์จากเจ้าของต้นฉบับแล้วเท่านั้น</p> <p> 3. ให้ผู้เขียนส่งต้นฉบับมายังบรรณาธิการวารสาร ฯ ไม่เกิน 40 วัน ก่อนการตีพิมพ์แต่ละฉบับ เพื่อเรื่องที่จะลงตีพิมพ์จะได้รับการดำเนินการตามขั้นตอนการวินิจฉัย และพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารต่อไป</p> <p> 4. ต้นฉบับที่ส่งมาเพื่อพิจารณาตีพิมพ์ ต้องเป็นไปตามข้อกำหนด คำแนะนาในการตีพิมพ์ต้นฉบับ</p> <p> 5. เรื่องที่ได้รับพิจารณาตีพิมพ์ ผู้เขียนสามารถดาวน์โหลดจากเวปไซด์ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p> <p><strong>สาขาที่เปิดรับบทความ</strong> </p> <p>เป็นวารสารที่ครอบคลุมสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี บทความมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรม อาทิ เทคโนโลยีอุตสาหกรรม วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ อุตสาหกรรมศึกษา เทคนิคและอาชีวศึกษา อุตสาหกรรมศิลป์ สถาปัตยกรรมและการออกแบบ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเทคโนโลยีอุตสาหกรรม โดยนำเสนอในรูปแบบบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความวิจารณ์/บทความปริทัศน์ </p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong> ภาษาไทย/ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ : </strong>เผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ ของทุกปี ดังนี้</p> <p><strong>ฉบับที่ 1</strong> ระหว่างเดือน มกราคม – เมษายน</p> <p><strong>ฉบับที่ 2</strong> ระหว่างเดือน พฤษภาคม - สิงหาคม</p> <p><strong>ฉบับที่ 3</strong> ระหว่างเดือน กันยายน – ธันวาคม </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ :</strong> ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ ฉบับที่ 1-12 และเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแต่ ฉบับที่ 13 เป็นต้นไป บทความละ 3,000 บาท สำหรับบุคลากร/นักศึกษา ในสังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และ 4,000 บาท สำหรับบุคคลทั่วไป</p> en-US <p>บทความที่ได้รับตีพิมพ์ในวารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช</p> <p>อนึ่งผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการที่ปรากฏเผยแพร่ในวารสารฯ เป็นความคิดเห็นอิสระของผู้แต่ง โดยผู้แต่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลทางกฎหมายใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจากบทความเผยแพร่นั้น ซึ่งกองบรรณาธิการและคณะผู้จัดทำวารสารฯ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป</p> technstru.editorjournal@gmail.com (Assistant Professor Dr.Apisan Siripan, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิศันย์ ศิริพันธ์) technstru.editorjournal@gmail.com (Ms. Gewalin Kueasuk, คุณเกวลิน เกื้อสุข) Thu, 28 Aug 2025 21:06:15 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การออกแบบและประเมินการยอมรับของผู้ใช้ต่อเตาจรวดต้นแบบสำหรับครัวเรือน: กรณีศึกษาบ้านนาข่า ตำบลเขาขาว อำเภอละงู จังหวัดสตูล https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4186 <p>การวิจัยนี้นำเสนอกระบวนการออกแบบและผลการประเมินการยอมรับของผู้ใช้ที่มีต่อเตาจรวดต้นแบบซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานในครัวเรือน การออกแบบมุ่งเน้นการแก้ปัญหาของเตาแบบดั้งเดิม โดยคำนึงถึงความมั่นคงแข็งแรง ความปลอดภัย และความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก ผลการทดสอบประสิทธิภาพเชิงความร้อนในสภาวะควบคุม พบว่าเตาจรวดต้นแบบสามารถทำอุณหภูมิได้สูงสุด 266.4 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าเตาแบบดั้งเดิมถึง 157.5 องศาเซลเซียส และมีการปล่อยควันน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ จากนั้นจึงดำเนินการประเมินการยอมรับโดยให้กลุ่มผู้ใช้งานในชุมชนบ้านนาข่า จังหวัดสตูล จำนวน 10 คน ทดลองใช้เตาต้นแบบ ผลการประเมินพบว่าผู้ใช้งานมีการยอมรับเทคโนโลยีเตาจรวดในระดับสูงมาก คะแนนเฉลี่ย 4.74 จาก 5 โดยปัจจัยด้านโครงสร้างที่แข็งแรงและความสามารถในการประกอบอาหารที่หลากหลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการยอมรับ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่ากระบวนการออกแบบที่คำนึงถึงบริบทของผู้ใช้และได้รับการพิสูจน์สมรรถนะเชิงประจักษ์ สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับและมีศักยภาพในการใช้งานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ธนะรัตน์ รัตนกูล, กันต์ธมน สุขกระจ่าง, ฉัตรชัย แก้วดี, วีรพล ปานศรีนวล, วีระยุทธ สุดสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4186 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อประยุกต์ใช้อริยสัจ 4 ผ่านกรณีศึกษาผลิตภัณฑ์กระจูดพรุควนเคร็ง https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4190 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยประยุกต์ใช้อริยสัจ 4 ผ่านกรณีศึกษาผลิตภัณฑ์กระจูดพรุควนเคร็ง และเพื่อศึกษาประสิทธิผลและความพึงพอใจของสมาชิกชุมชนที่มีต่อรูปแบบดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยมีประชากรและกลุ่มเป้าหมายคือสมาชิกกลุ่มผู้ผลิตผลิตภัณฑ์กระจูดบ้านพรุควนเคร็ง อำเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 25 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) รูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2) แผนการจัดกิจกรรม 3) แบบทดสอบวัดความเข้าใจและการนำไปใช้หลักอริยสัจ 4 และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบค่าที (t-test) และการหาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) รูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อประยุกต์ใช้อริยสัจ 4 ที่พัฒนาขึ้นประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ศึกษาทุกข์ ค้นหาสมุทัย กำหนดนิโรธ สร้างมรรค และประเมินผล ซึ่งได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่ามีความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด 2) ผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบมีค่าเท่ากับ 88.25/86.70 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 อย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่ารูปแบบดังกล่าวมีประสิทธิผลสูง ทั้งในด้านความเข้าใจระหว่างกระบวนการ (E1) และการนำไปใช้หลังจากจบกระบวนการ (E2) 3) ผลการเปรียบเทียบความเข้าใจและการนำไปใช้หลักอริยสัจ 4 ของสมาชิกชุมชนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ พบว่าหลังการทดลอง สมาชิกมีความเข้าใจและสามารถนำไปใช้หลักอริยสัจ 4 ได้สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ความพึงพอใจโดยรวมของสมาชิกชุมชนที่มีต่อรูปแบบการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นฯ อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.80, S.D. = 0.15) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ 4 เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นวิธีการที่ประสบความสำเร็จในการเสริมสร้างทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาให้กับสมาชิกชุมชน ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่น ๆ ได้อย่างยั่งยืนต่อไป</p> ฉัตรชัย แก้วดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4190 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาปัจจัยในการออกแบบตราสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ปลาทอดกรอบ: กรณีศึกษา ตำบลเกาะเเต้ว อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4194 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยที่มีความสำคัญในการออกแบบตราสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการปลากรอบ ด้วยกระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น มาช่วยในการวิเคราะห์หาค่าน้ำหนักของปัจจัยหลักและปัจจัยรอง ประกอบด้วยปัจจัยหลักจำนวน 6 ปัจจัย และปัจจัยรองจำนวน 22 ปัจจัย ผลการวิจัยพบว่า ค่าน้ำหนักของปัจจัยหลักที่มากที่สุด คือ ข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์ สีบรรจุภัณฑ์ และสีฉลาก ตามลำดับ ผลการวิจัยสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้ เนื่องจากแต่ละผลิตภัณฑ์ต้องมีตราสินค้า เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการตัดสินใจซื้อให้กับผู้บริโภคต่อไป</p> กันต์ธมน สุขกระจ่าง, ธนะรัตน์ รัตนกูล, พุฒิธร ตุกเตียน, ฉัตรชัย แก้วดี, วีระยุทธ สุดสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4194 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบตราสัญลักษณ์จากอัตลักษณ์ฐานพืชเศรษฐกิจชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนพรหมคีรี https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4202 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจหลักและอัตลักษณ์ที่เกี่ยวข้องของชุมชนพรหมคีรี 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและแนวคิดที่เหมาะสมในการนำอัตลักษณ์พืชเศรษฐกิจมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบตราสัญลักษณ์ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการออกแบบตราสัญลักษณ์จากอัตลักษณ์ฐานพืชเศรษฐกิจสำหรับชุมชนพรหมคีรี พร้อมทั้งประเมินผลการออกแบบเบื้องต้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ โดยมีกรณีศึกษาที่ชุมชนพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นชุมชนที่มีพืชเศรษฐกิจที่โดดเด่น ได้แก่ มะตาด มังคุด และมะเดื่อ การศึกษาเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลพืชเศรษฐกิจหลักของชุมชน และวิเคราะห์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับพืชเหล่านั้น จากนั้นได้ทำการสำรวจและสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ ช่างฝีมือ และปราชญ์ชุมชน เพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการและแนวคิดเกี่ยวกับการนำอัตลักษณ์พืชเศรษฐกิจมาใช้ในการออกแบบตราสัญลักษณ์ รวมถึงการประเมินผลการออกแบบตราสัญลักษณ์เบื้องต้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลการวิจัยพบว่า การออกแบบตราสัญลักษณ์ที่มีประสิทธิภาพควรผสานองค์ประกอบทางธรรมชาติ รูปทรง สี และสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพืชเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเล่าเรื่องราวและคุณค่าของชุมชน โดยผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญแสดงค่าเฉลี่ยด้านความชัดเจนในการสื่อสารอัตลักษณ์ ความสวยงาม และความสามารถในการนำไปใช้งาน ค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{\mathbf{x}}" alt="equation" />) เท่ากับ 4.33 และค่าส่วนเบี่ยงเบน-มาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.58 ซึ่งตีความได้ว่าอยู่ในระดับดีมาก และค่าเฉลี่ย (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{\mathbf{x}}" alt="equation" />) ด้านความเป็นเอกลักษณ์เท่ากับ 3.33 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(S.D.) เท่ากับ 0.58 ซึ่งตีความได้ว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนข้างดี การนำเสนอแนวทางการออกแบบที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างตราสัญลักษณ์ที่โดดเด่น เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมการรับรู้ถึงอัตลักษณ์ของชุมชนพรหมคีรีได้อย่างยั่งยืน</p> ฉัตรชัย แก้วดี, รัตยากร ไทยพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4202 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การลดความสูญเสียและการประเมินสมรรถนะกระบวนการผสมยางด้วยแนวคิดลีนซิกซ์ซิกม่า: กรณีศึกษาโรงงานผลิตยางแท่งในประเทศไทย https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4211 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตในกระบวนการผสมยางที่แผนกผลิต ภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นไปได้และอยู่ในมาตรฐานที่กำหนด จากการศึกษาสภาพของปัญหาในกระบวนการผสมยางที่แผนกผลิต พบว่า ก่อนการปรับปรุงผลผลิตต่ำกว่ามาตรฐานที่โรงงานกำหนด โดยมีสาเหตุหลักมาจาก วิธีการทำงานไม่เหมาะสมและซับซ้อน โดยทั่วไปมีการใช้พาเลทในการรองยางแผ่นและเศษยางทำให้สิ้นเปลืองพาเลท ใช้แรงงานคนมากเกินจำเป็น การชั่งน้ำหนักยาง ในวิธีการเดิมมีค่าความคลาดเคลื่อนสูงโดยเป็นกระบวนการแบบกึ่งอัตโนมัติ ใช้รถโฟลค์ลิฟท์จำนวนมากในการทำงาน และเวลาการรอคอยและสินค้าคงคลังมีมากเกินไป และหลังการปรับปรุงด้วยแนวคิดลีนซิกซ์ซิกม่าและใช้เครื่องมือควบคุมคุณภาพ 7 ชนิด จึงได้ทำการออกแบบเครื่องชั่งยางแบบอัตโนมัติ เพื่อใช้สำหรับชั่งน้ำหนักยางแบบต่อเนื่อง และปรับปรุงสายการผลิตใหม่โดยออกแบบให้กระบวนการผลิตเชื่อมต่อกันระหว่างกระบวนการล้างยางและกระบวนการผสมยาง เพื่อให้กระบวนการผลิตเป็นแบบต่อเนื่อง พบว่า ค่าความสามารถของกระบวนการ (C<sub>pk</sub>) เท่ากับ 1.35 แสดงว่ากระบวนการอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และจากการยืนยันผลไม่พบความสูญเสียเลย โดยช่วงความเชื่อมั่นของกระบวนการเท่ากับ 1.07 &lt; C<sub>pk</sub> &lt; 1.62 และจากการประเมินจุดคุ้มทุนของโครงการคิดเป็น 2.28 ปี</p> นิภาส ลีนะธรรม, สุวรรณา พลภักดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4211 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบแจ้งเตือนกิจกรรมบน Google Calendar ผ่านแอปพลิเคชัน LINE Notify API: กรณีศึกษาคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4217 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาระบบการแจ้งเตือนกิจกรรมและการนัดหมายการประชุมของผู้บริหารในงานธุรการและการส่งเอกสารการเบิกจ่ายในงานการเงินด้วยโปรแกรม Google Calendar และแจ้งเตือนด้วยแอปพลิเคชัน LINE Notify API บนมือถือของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และ 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจในการใช้งานโปรแกรม Google Calendar ผ่านการแจ้งเตือนสารสนเทศด้วยแอปพลิเคชัน LINE Notify API บนมือถือโดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&amp;D) ซึ่งผู้วิจัยได้ออกแบบและพัฒนาระบบโดยเน้นความสะดวกและใช้งานง่าย เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานเป็นหลัก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือบุคลากรของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม จำนวน 63 คน ประกอบด้วยอาจารย์ 55 คน และบุคลากรสายสนับสนุน 8 คน ผู้วิจัยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และได้รับแบบสอบถามกลับมาจำนวน 55 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 87.30 ผลการวิจัยพบว่า ระบบการแจ้งเตือนสามารถทำงานได้ตามวัตถุประสงค์ โดยบุคลากร มีความพึงพอใจต่อประสิทธิภาพของระบบ ในระดับ "มากที่สุด" ด้วยค่าเฉลี่ย (4.57) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (0.60) นอกจากนี้ยังมีความพึงพอใจต่อ การรับทราบสารสนเทศจากระบบ ในระดับ "มากที่สุด" ด้วยค่าเฉลี่ย (4.55) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (0.63) ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าระบบช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคณะ ทำให้บุคลากรสามารถทำงานได้ตามกำหนดเวลา และส่งเสริมให้เกิดความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานมากขึ้น รวมถึงช่วยให้การทำงานในคณะเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยได้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ยังช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการทำงานโดยไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม</p> พัชญ์สินี แก้วคงจันทร์, ศรีไพร อมรฤทธิ์, บุหงา นาคชูทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://ph03.tci-thaijo.org/index.php/AJITI/article/view/4217 Thu, 28 Aug 2025 00:00:00 +0700